วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คืนรัก พิศวาสแค้น
บทที่ ๑


บ้านเงียบเมื่อภีมเดชกลับมาถึง เขาไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเป็นคนสั่งให้ทุกคนหยุดงานได้หนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่งานศพของอินธิราภรรยาของเขา และอัครเดชน้องชายของเขาเสร็จสิ้นไปเมื่อสามวันก่อน เขาเองก็ไม่คิดจะอยู่ เพราะตั้งใจจะไปเที่ยว ไปพักผ่อนสมองเหมือนกัน

ชายหนุ่มเดินไขกุญแจเข้าบ้าน แล้วเดินไปที่บาร์เหล้า หยิบขวดบรั่นดีพร้อมแก้วเดินไปทิ้งตัวที่โซฟา ถอดสูทรูดเนคไท ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง นั่งลงพร้อมกับยกขาวางพาดที่โต๊ะกลาง เขายอมรับว่าเขาเหนื่อย อยากพัก มันไม่ใช่เพราะความเสียอกเสียสักเท่าไหร่หรอกกับความตายของภรรยาและน้องชายที่ได้รับอุบัติเหตุรถตกเหว เพราะไปตามหา น้องสะใภ้ของเขา เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องโง่ของอัครเดช ที่ทำตัวอย่างนั้น และอินธิราก็ตามใจอัครเดช ราวกับว่านั่นเป็นน้องชายตัวเธอเสียเอง

สองคนนี้หมกมุ่น อยู่กับการตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง ได้เบาะแสเมื่อไหร่ก็จะตามไปในทันที จะร่วมปีกว่าแล้ว ที่สองคนนี้ก็ยังคอยติดตามไม่เลิก ตอนแรกเขาก็พอจะเห็นใจ ถึงกับจ้างนักสืบให้ตามหาด้วยซ้ำ แต่อัครเดชก็บอกเขาว่านักสืบหาตัวไม่เจอ แล้วไงล่ะ พากันไปเข้าทรงเพื่อดูว่า ผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหน งี่เง่าชัดๆ

ชายหนุ่มยกแก้วเหล้าเข้าปาก เขาอยากเมาในตอนนี้ เพื่อที่จะได้ดื่มให้เมาพับหลับไป ผู้หญิงคนนั้น...น้องสะใภ้ของเขา ไม่ได้เหมาะสมกับน้องชายของเขาสักนิด ภายนอกเธอดูเหมือนอ่อนหวานใสซื่อบริสุทธิ์  ไอ้น้องชายทึ่มๆ ของเขาที่วันๆ ขลุกอยู่แต่การถ่ายภาพ เล่นกล้อง หรือไม่ก็อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จะไปรู้ทันผู้หญิงพรรค์นั้นได้อย่างไร

อัครเดชไปเจอหล่อนที่บาร์ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง เพราะอยากจะหานางแบบมาถ่ายภาพนู้ด แล้วก็เจอเข้ากับเรมียา อัครเดชบอกเหมือนรักแรกพบ ขอแต่งงานกับเธอในสองวันถัดมา หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสกับเธอ ก่อนที่จะกลับมาที่บ้าน ขอให้ช่วยจัดงานแต่งงานให้ เขาน่ะมารู้เอาที่หลัง เพราะพากันปิดเรื่องเอาไว้ อยากจะเซอร์ไพรส์เขา...ก็เซอร์ไพรส์จริงๆ เลยล่ะคืนนั้น

เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง คืนนั้นเขากำลังมึนๆ กลับจากงานเลี้ยงหลังจากประชุมติดต่อกันมาสามวัน เขาไม่ได้บอกอินธิราว่าจะกลับวันนั้น ก็อยากจะเซอร์ไพรส์เมียบ้างนะสิ แล้วไงล่ะ พอขึ้นบันไดแล้วมองเห็นเมียตัวเองใส่ชุดวาบหวิวยืนอยู่ระเบียงตรงมุม ห้องนั่งเล่นติดกับห้องนอน ลมที่พัดมาแยกเสื้อคลุมสะบัดอ่อนจนเห็นส่วนโค้งส่วนเว้า เรียวขางามอย่างนั้น เขาก็ดิ่งไปหาเธอเลยสิ ก็เมียเขา เขาจะจูบจะกอด จะเอากับเธอตรงไหนก็ได้ เขาคิดอย่างหน้ามืดเต็มที่ แล้วไงล่ะ หลังจากจูบลูบคลำจนร่างนั้นระทวย จะได้เรื่องอยู่แล้ว เจ้าหล่อนก็ตบเขาฉาด ด่า “ไอ้สารเลว” แล้วหล่อนก็วิ่งเข้าห้องพักรับรองแขก ถัดไปจากห้องของเขาเท่านั้นเอง

ให้ตายสิภีมเดชกรอกเหล้าเข้าปาก คิดถึงตรงนี้มันยังทำให้เขาได้ยินถ้อยคำด่าสารเลว พอๆ กับที่ร่างหอมกรุ่นที่เต็มไม้เต็มมือของเขาอยู่  ระยำไปเลยที่เขารู้สึกแข็งชันขึ้นมา...ถ้าเจอกันตอนนี้ละก็ ไม่มีอินธิรา ไม่มีอัครเดชแล้ว เขาจะฝังเขาไปในตัวเธอให้ลึกๆ กระแทกให้แรงๆ ให้เธอสั่นสะท้านครวญครางไปเลย

เหมือนการรินจะช้าไม่ทันใจ ภีมเดชยกทั้งขวดใส่ปาก เขาไม่คิดว่าตัวเองเมา หรือหยาบคายตรงไหนที่จะคิดอย่างนั้น โดยเฉพาะคำพูดในตอนเช้าหลังจากแนะนำเขาให้รู้จักแล้วว่าเธอชื่อ เรมียา

“ผมจดทะเบียนกับมียาก็จริง แต่ยังไม่มีอะไรกันนะพี่ภีม เธอบอกต้องแต่งงานกันเสียก่อน”

  อินธิราขานรับในทันที หล่อนเตรียมงานแต่งงานเอาไว้ ดีอกดีใจที่น้องชายของสามีได้แต่งงานเสียที  ขณะที่เขามองน้องชาย มอง เรมียา หันกลับมามองน้องชายอีกครั้งอย่างสังเวช

ไม่มีอะไรกัน ต้องแต่งงานก่อนนะเหรอ ซื่อบื้อเอ๊ย ร้อนแรงออกอย่างนั้นจะเหลืออะไรมาถึงคืนวิวาห์บ้างล่ะ

ภีมเดชยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง  เขายังไม่อยากจะคิดถึง เรมียา แต่เขาจะเอาเรื่องเธอแน่ เพราะหลังจากที่ไปฮันนิมูนได้เพียงสามวัน อัครเดชก็ซมซานกลับมาคร่ำครวญว่า ถูกเรมียาทิ้ง เธอหายไป หายไปขณะที่ไปฮันนิมูนกัน  แต่แล้วไม่กี่วันอินธิราก็โวยวายว่า เครื่องเพชรของหล่อนหายไป แล้วในที่สุดหล่อนก็เชื่อว่าเป็นเรมียาขโมยไป  แล้วทั้งคู่ก็พยายามติดตามหาเรมียา ด้วยเหตุผลต่างกัน เรมียาจึงเป็นหญิงชั่ว ในสายตาของเขา ข้อแรกเธอทำให้สถานภาพในการแต่งงานของเขาแตกแยกอินธิรากับอัครเดชตามหาหล่อนจนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร  ข้อสองที่สำคัญ...ที่ไม่สามารถเอากลับมาได้ก็คือชีวิตของอินธิราและอัครเดช ข้อสามเธอขโมยเครื่องเพชรหลายเขาไปด้วย เธอเป็นนางนกต่อที่บังอาจมาล้วงคองูเห่า ข้อสี่เธอทำให้ท้องไส้ของเขาปั่นป่วนทุกครั้งที่ได้ยินชื่อเธอ...สองคนนั้นตายไปแล้ว แต่คนที่เหลืออยู่คือ เรมียา เธอมาอยู่ท่ามกลางครอบครัวอันสงบสุขของเขา ตั้งแต่วันแรกที่เขาเห็นเธอ แม้เธอจะหนีไป แต่อินธิรากับอัครเดช กลับทำให้เธออยู่ที่บ้านตลอดเวลา อยู่ในหัวของเขาที่แม้ไม่อยากสนใจ แต่ก็ฝังใจไปแล้วเขาจะต้องหาเธอให้เจอ และถ้าเจอละก็...

ชายหนุ่มดื่มเหล้า...เขามันบ้าแล้วที่คิดอย่างนั้น  เขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น เขาเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นที่นับหน้าถือตาให้วงสังคม..เขาจะไปมีความคิดวิปริตจับผู้หญิงอย่างเธอขึงพืดได้ยังไง แต่ระยำ ก็เขามันเป็นผู้ชาย ไม่ตายด้าน ระหว่างที่จะคิดถึงเรื่องเซ็กส์พิเรนอย่างนี้  กับคร่ำครวญหาเมียและน้องที่ออกจะสนิทสนมกันเกินเหตุที่ตายไปแล้ว เขาก็เลือกอย่างแรกล่ะ มันสะใจกว่ากัน สะใจกว่ามาก

ภีมเดชสูดลมหายใจเฮือก กรอกเหล้าเข้าปาก วางกระแทกลงไป เขาลุกขึ้น การอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว อาจจะทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของเขาหายไป พรุ่งนี้เขาจะเดินทางไปต่างประเทศ ก็ไปเที่ยวกับครอบครัวของอินธิราที่บินไปก่อนแล้วตั้งงานหมดงานศพ ไม่ใช่เพื่อพักผ่อนให้หายเศร้าโศก แต่เป็นกำหนดการที่วางเอาไว้เป็นเดือนก่อนจะเกิดเรื่อง ความตายของคนสองคน ไม่อาจจะหยุดชีวิตต้องก้าวเดินต่อไปของคนหลายคน  ไม่มีใครตำหนิใครในเรื่องนี้

ภีมเดชเดินไปที่บันได เพื่อจะขึ้นไปห้องนอน แต่แล้วเสียงออดหน้าประตูก็ดังขึ้น เขาหันไป...ใครกันจะมาหาเขาค่ำมืดอย่างนี้  เขาไม่ทันจะได้ก้าวเดินไปเปิด  ประตูก็เปิดเองเสียแล้ว เขาชะงักคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้ล๊อกประตู แต่แล้วร่างของคนที่เดินเข้ามามันทำให้เขายืนตัวแข็ง


เมื่อลงจากแท๊กซี่ เรมียาก็มองลอดประตูรั้วไปยังคฤหาสก์หลังใหญ่ ที่ร่มครึ้มไปด้วยแมกไม้ เธอคิดจะกดออด แต่แล้วก็คิดว่า เธอควรจะเข้าไปโดยที่ไม่ให้ใครรู้เห็นเสียดีกว่า เธอรู้ว่าประตูเล็กที่คนรับใช้เข้าออกอยู่ตรงไหน และคิดว่าคงจะไม่มีใครปิด เธอเดินไปยังประตูที่อยู่ใต้ซุ่มเฟื่องฟ้า มันขัดดานเอาไว้ แต่ไม่ได้ใส่กุญแจ เธอจึงเปิดเข้าไป แล้วเดินอ้อมไปตามสนาม บ้านทั้งหลังดูเงียบ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะหนึ่งทุ่ม หากไม่มีไฟเปิดอยู่ด้านล่าง เธอก็คงจะคิดว่าไม่มีใครอยู่ หรือไม่ก็อาจจะไปงานศพกัน

เธอไม่รู้หรอกว่า งานศพเสร็จสิ้นไปหรือยัง แต่มันไม่สำคัญเพราะเธอไม่คิดจะมางานศพ บุคคลสมควรตาย ก็ได้ตายไปแล้วในความคิดของเธอ แต่คนที่อยู่จะต้องรับใช้ผลกรรมที่ทำกับเธอ

เธอต้องใช้เวลาตัดสินใจอยู่วันสองวัน ตั้งแต่บังเอิญเห็นข่าวการเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ แต่ข่าวนั้นมันก็ล่าไปร่วมเจ็ดวัน เธอเป็นคนไม่ค่อยจะอ่านหนังสือพิมพ์ หากไม่ใช่เพราะจะฉีกหนังสือพิมพ์ห่อของทิ้ง เธอก็คงไม่เห็นข่าว เธอก็คงไม่มาที่นี่ มองเห็นคฤหาสน์นี้อีกครั้ง...มันตั้งอยู่ท่ามกลางความสวยงามและร่มรื่น และเธอก็ตื่นเต้นยิ่งนักในครั้งแรกที่ได้มาเห็น...แต่ทุกอย่างก็พังพินาศภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งความจริงเธอน่าจะรู้ เธอน่าจะคิดได้ ตั้งแต่ไอ้คนสารเลวนั่น จะข่มขืนเธอ...เธอไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกใคร และก็คิดเสียว่าเธอเข้าใจผิด เหตุผลหนึ่งก็เพราะเขามาขอโทษเธอ

“โทษนะคืนนั้น ฉันเข้าใจผิดว่าเธอเป็นเมียฉัน ชุดนอนนั่นฉันเลือกให้เมียฉันเอง”

มันเป็นคำขอโทษแบบหยิ่งผยอง คล้ายจะบอกว่า เธอผิดเองนั่นแหละที่ไปเอาชุดเมียของเขามาใส่ให้เขาเข้าใจผิด...ใช่ล่ะมันยังเป็นความผิดของเธอทั้งหมดที่หลงไว้ใจผู้หญิงหน้าสวย ที่พูดจาอ่อนหวาน ต้อนรับเธออย่างยินดี ยอมให้เธอยืมชุดนอน หลังจากที่เธอเดินทางมากับอัครเดช แล้วเขาดันลืมเอากระเป๋าเดินทางของเธอขึ้นเครื่อง เขาไม่ได้เอามันผ่านเชกอินให้เธอด้วยซ้ำตั้งแต่อยู่เชียงใหม่ กว่าจะรู้ก็ตอนมาถึงกรุงเทพแล้ว

“ช่างเถอะ คุณยืมพี่อินใส่สักคืน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยไปชอปปิ้งกัน”

เธอเชื่อ เชื่อทุกอย่าง อินธิรากับอัครเดชทำให้เธอสบายใจทุกอย่าง แต่สายตาของพี่ชายของเขานั่นหรอก ที่ทำให้เธอปวดมวนช่องท้องทุกครั้งที่เขามองมา...

เธอน่าจะรู้ตัว เธอน่าจะกลัวสายตาอย่างนั้น มันน่าจะเป็นลางบอกเหตุ แต่เธอก็ยังงี่เง่า จนกระทั้งถึงเช้าหลังคืนแต่งงาน ความบัดซบ ความวิตถารของคนในบ้านนี้จึงประจักษ์กับสายตาของเธอ  

เธอขวัญเสีย หนีเตลิด ตอนแรกคิดจะกลับบ้านไปหาแม่ แต่ก็เพราะแม่นั่นแหละที่ทำให้เธอเตลิดมากับอัครเดช เธอจึงไม่กลับบ้าน แต่ไปหาเพื่อนที่ทำร้านอาหารอยู่ชายทะเล ไปทำงานที่นั้น เพื่อไม่ให้อัครเดชตามเจอ...แต่กลับมีคลิปส่งเข้ามือถือ ภาพที่พี่ชายของเขาข่มขืนเธอ แถมส่งข้อความข่มขู่  หากเธอปากโป้งเขาก็จะเอาคลิปนี้แฉ แต่ที่ร้ายสุดคือ เขาจะแจ้งความว่าเธอคือนางนกต่อ ล่อลวงและขโมย

ตอนนั้นเธอกลัว เธอขยะแขยง  เธอไม่กล้าบอกใคร นานเป็นปีจนกระทั่งรู้เรื่องของแม่ สามีเด็กของแม่ทิ้งแม่ไปแล้ว หลังจากที่ปอกลอกเอาไปเสียหมด เธอกลับไปหาแม่ รื้อฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ระหว่างแม่ลูก ทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย เธอกำลังเก็บเงินเพื่อที่จะทำเลเปิดร้านอาหารของตัวเอง แต่แม่มาล้มป่วยเสียก่อน...เงินหมด แล้วข่าวการตายของอัครเดชก็ปรากฏอยู่หน้าหนังสือสือพิมพ์

เธอเป็นเมียอัครเดชโดยถูกต้องตามกฏหมาย เมื่ออัครเดชตาย สมบัติของอัครเดชต้องเป็นของเธอ หากจะมีใครคิดจะบ่ายเบี่ยง โดยเฉพาะพี่ชายของเขา เธอก็จะเปิดโปงความวิตถารของเขา ด้วยคลิปภาพที่ถูกส่งมาให้เธอนั่นแหละ

เรมียาหยุดยืนที่หน้าประตูบ้าน  เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือ กำโทรศัพท์ไว้แน่นหลักฐานมันอยู่ในนี้ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วใจหายวาบ...เธอไม่ได้เอามือถือเครื่องนั้นมา ทำไมเธอถึงได้โง่บัดซบเลินเล่ออย่างนี้ เธอเตรียมไว้แล้วแต่เป็นเพราะเธอเปลี่ยนกระเป๋าถือเอาก่อนหน้าที่จะมานี่ จนลืมหยิบ...แล้วนี่เธอจะทำยังไง

เรมียาขาดความมั่นใจอยู่ครู่หนึ่ง  แต่เธอก็เชิดหน้ายังไงๆ เธอก็เป็นเมียโดยถูกต้องตามกฏหมายของอัครเดช ใครจะมาไล่เธอออกจากบ้านนี้ไม่ได้  แล้วกดออดก่อนจะใช้มือหมุนลูกบิด ประตูไม่ได้ล็อก และเธอก็เปิดเข้าไป

เรมียายืนนิ่งต่อให้เธอสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งแค่ไหน หัวใจของเธอก็เต้นแรงอย่างตื่นเต้นปวดมวนไปถึงช่องท้องไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน ภีมเดชยืนอยู่ต่อหน้าเธอ กระดุมเสื้อหลุดแผ่ออกจนเห็นแผงอก ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาดูเถื่อน และสายตาที่ร้อนแรงมองเธอราวกับจะถอดชุดเธอออก

“กลับมาแล้วสินะ”เขาพูดเสียงต่ำๆ

“ใช่ฉันกลับมา เพราะรู้ข่าวของอัครเดช”

“นั่งสิ” เขาบอก แล้วเป็นฝ่ายเดินไปทรุดตัวนั่งที่เดิม มองร่างที่กำลังเดินมาอย่างพิจารณา เรมียาไม่เปลี่ยนไปมากนัก หากจะเปลี่ยนก็เหมือนกับว่า เธอจะมีเนื้อหนังเปล่งปลั่งขึ้น หน้าอกโตขึ้นจากเสื้อคอสี่เหลี่ยมผ้าฝ้ายลายดอกสีน้ำตาล กางเกงแนบเนื้อยังทำให้เห็นเรียวขาที่สวย รูปตัววีที่เห็นรำไรใต้ชายเสื้อวูบไหวเมื่อเธอเยื้องย่างมา มันทำให้สิ่งที่เขาเพิ่งจะคิดผ่านไปเมื่อครู่ ลุกโพลงมาอีก เขามองกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่เธอลากเข้ามาแล้วย่นคิ้ว

“หนนี้มีเสื้อผ้าตัวเองมาด้วย จะอยู่นานไหม”

เรมียา ไปนั่งที่อาร์มแชร์ตรงข้าม ตอบว่า “ฉันจะอยู่นานเท่าที่ฉันต้องการ”

ภีมเดชหัวเราะหึ เอนกายไปด้านหลัง ยกเท้าขึ้นพาดเหมือนที่ทำอยู่ก่อนหน้า

“เธอใช้สิทธิ์อะไรในการจะอยู่ที่นี่ล่ะ”

เรมียาเลียริมฝีปาก เมื่อเห็นท่าสบายเถื่อนๆ ของเขา เธอเป็นบ้าอะไรที่คิดอย่างนี้ ในตอนนี้

“ฉันเป็นภรรยาของอัครเดช และจดทะเบียนสมรสกับเขา บ้านหลังนี้เป็นของเขาครึ่งหนึ่ง เมื่อเขาตายมันก็ควรเป็นของฉันหรือไม่ก็...”

“เธอรู้จักคำว่าพินัยกรรมไหม” เขาถามขัดขึ้น มองเธอด้วยรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มของแมวที่กำลังหยอกหนูเล่น

“อัครเดชเคยบอกว่า เขาเกลียดการทำพินัยกรรม”

“ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ทำนี่นา”

เรมียาใจหายวาบนิ่งงัน เธอลืมคิดประเด็นนี้ มันถูกของเขา แต่แล้วเธอก็เชิดหน้า

“ฉันจะโต้แย้งถึงความถูกต้องของพินัยกรรมนั้น ถ้ามันมีจริง”

“อ๊ะ หัวหมอเสียด้วย”

เขาหัวเราะ แล้วพยักหน้าไปที่กระเป๋าเอกสารของตัวเอง “เปิดดูสิ ในนั้นมีพินัยกรรมของนายอัครเดชเขียนเอาไว้ เขายกส่วนของเขาในบ้านหลังนี้ให้ฉัน ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ เขาก็แต่งตั้งให้ฉันเป็นผู้จัดการมรดก แล้วเธอลองดูสิว่า ฉันจะจัดการมันเมื่อไหร่ และมันมีส่วนที่เป็นของเธอไหม  เธอชื่ออะไรนะ เผื่อฉันจะจำได้ว่ามีชื่ออยู่ในนั้น” เขาเยาะในตอนท้าย ก่อนจะยกขวดเหล้าขึ้นดื่ม

เรมียาเม้มริมฝีปากแน่นมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นมาเปิดกระเป๋าเอกสารที่วางข้างๆ  ภีมเดชมองเธอนึกในใจว่า หากเอื้อมมือคว้า เธอก็จะหล่นมาที่หน้าตักของเขาพอดี แต่มันเรื่องอะไรที่เขาจะให้เกียรติเธอขนาดนั้น เขาจะต้องให้เธออับอาย ให้เธอรู้ว่าเธอไม่มีค่าอะไรแม้แต่น้อย

เรมียาหยิบซองสีขาวที่มีลายมือสีน้ำเงินจ่าหน้าว่า พินัยกรรมขึ้นมา ถอยกลับไปนั่งอ่าน มันเป็นพินัยกรรมที่ทำพิมพ์ธรรมดา มีคนรับรองชื่อเป็นพยานเรียบร้อย พินัยกรรมไม่ว่าจะทำแบบไหน หากจะหาเรื่องฟ้องร้องถึงความไม่สมบูรณ์ของมันก็คงจะหาได้ไม่ทางใดทางหนึ่งล่ะ แต่เธอจะไปหาเงินที่ไหนไปจ้างทนาย...หรือมาครั้งนี้เธอจะกลับไปมือเปล่า สู้อะไรเขาไม่ได้สักนิด เรมียาถอนหายใจแล้วเงยหน้าแล้วแทบผงะขนลุกซู่ ช่องท้องปั่นป่วน เมื่อสบสายตาร้อนแรงของภีมเดชที่จ้องมองเธอ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ภาพเจนตาที่เขากระทำย่ำยีเธอผุดขึ้นมา จนเธอต้องเม้มปากแน่นหรือเธอจะต้องสู้ในทางอื่น ในเมื่อไม่มีอะไรที่จะต้องเสียแล้วนี่

“ในเมื่ออัครเดชไม่ได้ยกอะไรให้เธอ หากเธอต้องการจะอยู่ที่นี่ ก็มีวิธีเดียว” ภีมเดชพูดขึ้นช้าๆ สายตาจับที่ทรวงอกของเธอ

“อะไร”

เขายิ้มน้อยๆ จ้องที่ริมฝีปากเธอ เลื่อนไปที่ดวงตาของเธอ ดวงตาคู่สวยเหมือนจะมีแววตื่น เหมือนจะสงสัย เหมือนจะท้าทาย

“ฉันอนุญาตให้เธออยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ แต่จะต้องยอมรับสภาพ ว่าเธอไม่ใช่คุณผู้หญิงของบ้าน และไม่ใช่น้องสะใภ้ของฉัน...เข้าใจใช่ไหมที่พูด”

เรมียาเม้มปาก สบตาเขา เข้าใจเสียยิ่งกว่าเข้าใจ ถอยก่อนดีไหม แต่เธอต้องการเงิน ด่วนมากด้วย

สายตาลังเลของเธอ ทำให้ภีมเดชยิ้ม ถามสบายๆ ว่า

“ต้องการเงินด้วยใช่ไหม?”

เรมียายังนิ่ง  แต่การนิ่งครั้งนี้ของเธอ ทำให้ภีมเดชยิ้มน้อยๆ  แต่น้ำเสียงเย็นชานักเมื่อพูดว่า

“ตกลงฉันจะจ่ายให้เธอ มานี่ซิ”

เรมียาสั่นหน้า

“ฉันต้องการเงินสด หรือไม่ก็เช็กให้แน่นอนเสียก่อน”

ภีมเดชหัวเราะ แม่แมวน้อย คิดจะต่อกรกับเขาอย่างนั้นหรือ

“ฉันเป็นคนรักษาคำพูด เรมียา และถ้าหากเธอไม่เชื่อถือ ก็เดินออกจากบ้านไปได้เลย เลือกเอง”

เขาพูดแล้วก็มองเธออย่างหมายมั่น ไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหน เธอก็ไม่มีวันได้ออกจากบ้านหลังนี้ในคืนนี้ได้แน่ๆ บ้านนี้มีเพียงเขากับเธอสองคน...เธอเดินเข้ามาหาเขาเอง  เขาหาเหตุผลได้มากมายที่จะกักตัวเธอเอาไว้...ต่อให้มันพิเรนวิตถารแค่ไหน เขาก็จะทำล่ะ

 เรมียา จ้องหน้าเขา คนอย่างภีมเดช จะเป็นคนรักษาคำพูดหรือไม่ เธอไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ หากเธอเดินออกไปตอนนี้ ก็เท่ากับว่า เธอทิ้งฟางเส้นสุดท้ายของเธอแล้ว และมันไม่ใช่สิ่งที่เธอตัดสินใจในการมาที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรเธอจะต้องได้เงินกลับไป ต่อให้ขโมยก็ได้!

หญิงสาวลุกขึ้น เดินไปหายืนต่อหน้าเขา มันแปลกที่เธอรู้สึกว่า เธอกำลังเป็นฝ่ายก้มมองเขาที่นั่งเอกเขนกอยู่โซฟา ท่าทางมึนเมา แต่เร้าใจ

“ถอดเสื้อเธอออก”

เรมียาเม้มปาก สายตาร้อนแรงของเธอจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ทุกชิ้น”

“นี่มันห้องรับแขกนะ”

“ก็ใช่ เธอมีปัญหาอะไร หรืออายที่จะมีคนเห็น” เขายิ้มเยาะ “เริ่มทำตัวให้คุ้นเลยดีกว่า เพราะต่อไปมันจะมากกว่านี้”

“ฉันรู้ในความวิตถาร เสียสติของคุณ” เธอเน้นเสียง

“ฉันไม่ได้เสียสติ แต่ฉันเสียเมียเสียน้องชายเพราะผู้หญิงสารเลวอย่างเธอ”

เรมียาตะลึง เธอมาเพราะความแค้น เธอมาอย่างที่คิดแล้วว่าจะยอมเกือกกลั้วกับคนวิตถารเช่นเขา เธอเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด  แต่เขากลับด่าเธอว่าสารเลว เป็นไปได้อย่งไร

 “ถ้านายอัครเดช ไม่รีบร้อนไปตามหาเธอที่หนีตามชู้ไปแล้วละก็ อุบัติเหตุมันจะไม่เกิดขึ้น” เขาตวาด น้ำเสียงของเขาเหมือนมั่นอกมั่นใจจนเรมียาแปลกใจ

“ฉันไม่ได้หนีตามชู้”

“อย่าเถียง จะถอดไม่ถอด”

“คุณมันงี่เง่า” เธอถอดเสื้อออกแล้วม้วนปาหน้าเขา “ฉันไม่ได้หนีตามชู้ "  เธอกระแทกเสียง ปลดกระดุมรูปซิบกางเกงแล้วรูดลง  เตะออกไป จ้องตาเขาเมื่อกระแทกเสียงต่อ

         "แต่หนีพวกสารเลวอย่างคุณไง ล่อกันทั้งพี่ทั้งน้องอย่างพวกคุณยังไงล่ะ”"

“เธอพูดอะไร”

“จะอะไรนะเหรอ” เธอปลดตะขอบราเซียร์ “อยากรู้ไหมคืนแต่งงานเจ้าบ่าวของฉันพูดยังไง ทำตัวให้สบายนะรียา เดี๋ยวเราจะมาสนุกกัน รอพี่ภีมสักนิด คุณดื่มแก้วนี้แล้วยัง  แล้ว รู้ไหมฉันตื่นขึ้นมาฉันเห็นอะไร” เธอฟาดบราเซียร์ไปที่หน้าของเขาอีกครั้ง ก่อนจะถอดกางเกงใน

“คุณ คุณนั่นแหละนอนอยู่บนตัวฉัน แล้วฉันไปเจออะไรอีกรู้ไหม ก็เมียคุณกำลังล่อกับเจ้าบ่าวฉัน ฉันขยะแขยงรู้ไหม ถึงได้หนีไป” เธอปากางเกงในใส่หน้าเขา

“และที่ฉันกลับมาที่นี่ เพราะรู้ว่าสองคนมันตายแล้ว ฉันสะใจรู้ไหม ส่วนเรื่องเงินมันจำเป็นกับฉัน และฉันไม่คิดจะเสียตัวฟรีๆ”

เธอก้มลงจนชิดเขา “อย่าคิดว่าฉันจะกลัวคุณ ไม่กลัวแม้แต่จะมีเซ็กส์กับสัตว์อย่างคุณ ที่ฉันกลับมานี่ ฉันจะทวงคืนทั้งหมดต่างหาก  สารเลว”

เธอตบหน้าเขาเหมือนอย่างที่เคยตบ แล้วเดินอาดๆ ผละขึ้นบันได ภีมเดชนั่งงงอยู่เป็นครู่ เรมียาพูดอะไร เธอช่างกุเรื่องระยำมาแก้ต่างให้ตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ร้ายกว่าที่คิด ตอนแรกก็ทำเหมือนแมวเชื่องๆ หนอยเผลอแผล็บตะบบเขาเข้าให้ มันต้องสั่งสอนให้รู้ว่าเป็นใคร


ชายหนุ่มลุกขึ้นก้าวตามเธอขึ้นไปเร็วๆ แต่พอได้ครึ่งทาง เขาก็ผ่อนฝีเท้าลง  เขาไม่จำเป็นต้องรีบ เธอหนีเขาไปไหนไม่ได้หรอกคืนนี้

***********************************************