วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555


ไฟรักเพลิงแสงจันทร์



บทที่ ๒ 



แสงจันทร์ลงจากรถท่ามกลางฝนตกหนัก เพื่อมาเปิดประตูไม้บานใหญ่ ก่อนจะกลับเข้าไปในรถ ขับเข้าไปในจอดภายในโรงรถอันเป็นไม้ระแนงมีต้นเถากระเทียมห้อยระย้าอยู่ ทางเข้าบ้านนี้มันเหมือนเป็นด้านหลัง ทั้งๆ ที่อยู่ติดถนน แต่เพราะว่าบ้านหันหน้าไปทางชายหาด และเธอก็เปิดให้ลูกค้าเข้าทางด้านนั้น มันจึงเป็นเหมือนด้านหลังไปโดยปริยาย

เธอลงจากรถ ก็พอดีมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูกระจกออกมา 

“เหล้าอยู่หลังรถ ขนลงมาเลย”

เธอสั่งแล้วก็เดินสวนเข้าไปทางประตูเดียวกัน ร้านยังไม่เปิด แต่ดูเหมือนโต๊ะเก้าอี้จะถูกจัดให้เข้าที่หมดแล้ว เกร็กชายอิตาเลียนวัยหกสิบที่ผมเป็นสีขาวทั้งหัวแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ เกร็กจะเดินขากระเผลกนิดๆ เพราะว่าเคยได้รับการผ่าตัดกระดูกมาก่อน ส่วนมอริสชายอายุไล่เรี่ยกันกำลังตั้งเสียงเปียนโน ที่ผับมีทั้งเปียนโน และการใช้เครื่องเสียงเปิด ทั้งคู่อยุ่ที่นี่มาตั้งแต่เธอจำความได้ ทั้งคู่เคยมีภรรยาเป็นคนไทย แต่เสียชีวิตไปแล้วด้วยอุบัติเหตุเรือล่ม พร้อมๆ กับการเสียชิวิตของพ่อเธอในตอนนั้น ความรู้หลายๆ อย่างของเธอ ที่ไม่เคยได้เรียนจากมหาวิทยาลัยไหน ก็ได้มาจากชายสองคนนี้ มอริสเต้นรำเก่งมาก ขณะที่เกร็กก็เป็นบาร์เทนเดอร์ที่คุยสนุก พูดได้หลายภาษา และมีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำเป็นอย่างดี พวกเขาจึงเป็นคนในครอบครัวเสียมากกว่าลูกจ้าง

“เอาสักเพลงไหม แสงจันทร์” มอริสตะโกนถาม พร้อมๆ กับที่เสียงเพลงกระหึ่มขึ้น แข่งกับเสียงฝน แล้วร่างของมอริสก็พลิ้วออกมาราวกับไม่ใช่ชายวัยจะหกสิบ

แสงจันทร์หัวเราะ พลางส่ายหน้า ยกสองมือที่ถือถุงกระดาษให้ดู 

“กำนันเปลวมีของฝากพวกคุณด้วย เดี๋ยวจะเอาลงมาให้นะคะ”

เธอยิ้มให้อย่างชื่นมื่น ก่อนจะแยกตัวขึ้นบันได ที่ชั้นบนไม่มีใครอยู่ น้ากรองทองคงจะอยู่ในห้องของตัวเอง ส่วนป้าชงโคก็คงจะเตรียมอาหารเย็น 

หญิงสาวเข้าไปในห้อง ตอนแรกเธอคิดว่าจะนอนพัก แต่แล้วเมื่อมองออกไปข้างนอก ฝนหยุดตกแล้ว เลยเปลี่ยนใจถอดชุดที่ชื้นออก สวมบิกินี่สีแดงตัวโปรดแล้วคว้าเสื้อมาสวมทับตัวหนึ่ง เปิดประตูออกไป เธอไม่ได้ลงไปทางบันไดเดิม แต่ลงไปทางบันไดห้องมุขแปดเหลี่ยม ที่ลงไปยังชั้นลอยก่อนที่จะมีบันไดลงไปยังหาดด้านล่าง ตรงนี้ จะไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็นเพราะจะมีต้นแสงจันทร์ใหญ่ใบหน้าปิดตรงส่วนบันไดนี้ มองเข้ามาก็จะเห็นเป็นสวนที่ไม่มีทางเข้า

แสงจันทร์ เดินอย่างไม่เร่งรีบนักลงทะเล แม้จะเหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้เวลาเปิดร้าน แต่เธอเป็นคนแต่งตัวเร็ว และตอนนี้ฝนก็เพิ่งจะหยุด โอกาสที่คนจะออกมาหาความสำราญอย่างนี้คงน้อยลงไปอีก ดูจากทั่วทั้งหาดก็เหมือนจะมีเธอคนเดียว เธอนอนหงายพยุงตัวให้เคลื่อนไปตามกระแสคลื่นไม่แรงนักที่ทยอยซัดเข้าฝั่งเท่านั้น มันเป็นความเคยชินของเธอ ที่จะต้องมาว่ายน้ำเล่นตอนพลบค่ำ แดดไม่แรง ฟ้าเป็นสีทอง มันทำให้เธอเหมือนตกอยู่ในดินแดนในฝัน ที่ไม่มีอะไรทำให้เธอต้องคิดหนัก คิดมาก และคิดจนไม่มีทางออกที่เธอพอใจ

เช้านี้น้ากรองทอง ดูไพ่ให้เธอ มันออกมาในลักษณะที่ว่า เธอจะเจอเนื้อคู่ แต่มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจ ตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการเนื้อคู่ เธอต้องการเงิน เงินมากๆ พอที่จะใช้หนี้ พอที่จะเสนอซื้อบ้านของเธอให้มันกลับมาเป็นของเธอ 

“เขาเป็นคนมีฐานะ” น้ากรองทองยังย้ำบอก พร้อมกับชี้ไปที่ไพ่อีกใบหนึ่ง แต่เธอไม่สนใจจะดูนัก และถ้าหากไม่คิดว่าน้ากรองเป็นแม่หมอที่ดูแม่นและรู้จริงในเรื่องนี้แล้วละก็ เธอก็อาจจะคิดว่าท่านกำลังพูดเป็นนัยบางอย่างกับเธอ เพราะที่เธอเจอวันนี้ ก็เป็นหนุ่มรูปหล่อ รวยจริงๆ...ไม่ใช่ใครที่ไหน กำนันเปลวนั่นแหละ

เธอเจอกำนันเปลว ในตอนไปเอาเหล้า กำนันเปลวแสดงความเสียใจกับเธอเรื่องการตายของนายอินสร เพราะเขาก็เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ และไม่ได้มางานศพ แน่นอนไม่เพียงแต่เหล้าเท่านั้นที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ ยังมีของฝากอีกหลายอย่าง ไม่ใช่สำหรับเธอคนเดียว แต่เรียกได้ว่า ทั้งบ้าน

เธอยังเคยคิดว่า กำนันเปลวน่าจะชอบน้ากรองทองของเธอ เพราะดูแล้วเขาอายุมากกว่าน้ากรองเธอไม่กี่ปี เขาอายุน้อยกว่าแม่เธอไม่กี่ปี และเคยหลงรักแม่เธอมาก่อน ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคุยให้เธอฟังหรอก เป็นตัวกำนันเองนั่นแหละคุยให้ฟังอย่างอารมณ์ดี เมื่อตบท้ายด้วยว่า

แสงจันทร์มีปัญหาอะไร มาหาผมได้ทุกเมื่อ อย่าเกรงใจ และอย่าไปฟังเสียงใครจะพูดอย่างไร เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงิน อย่าทำตัวเป็นผู้หญิงสิ้นหวัง เพราะยังมีผมอยู่

เธอยังเคยคิดขำๆ มันๆ ให้สะใจตัวเองเลยว่า ก็ขอแต่งงานมาสิ จะกระโดดใส่เลย 

แต่การแต่งงานมันคงไม่เกิดขึ้น ในความคิดของกำนันเปลวแล้ว ก็คงคิดเป็นเรื่องธรรมดา ที่เขาจะมีผู้หญิง และด้วยหน้าตาฐานะอย่างเขา มันก็ไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงมาตามติดเขาเช่นกัน แต่เธอไม่เคยคิดเป็นเรื่องธรรมดา ลึกลงไปแล้วเธอรังเกียจวิธีคิดแบบนี้ของผู้ชาย แม้ว่าเจ้าตัวจะคิดว่าตัวเองไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตนก็เถอะ

แต่เขาก็เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่พึ่งพาได้คนเดียวสำหรับเธอ ไม่มีคนไหนในเกาะอยากจะยุ่งกับเธอ ไม่ใช่เพราะกลัวกำนันเปลว แต่เพราะคิดว่าเธอเองคงเป็นผู้หญิงของเขาไปแล้ว และเขาทำให้ทุกคนรู้โดยไม่จำเป็นจะต้องประกาศออกมา ก็คือทุกครั้งที่เขาข้ามฝั่งก็จะไปขลุกอยู่ที่ผับของเธอ มันเป็นการตีตราอย่างที่ใครๆ ก็มองออก และเธอเองก็อาจจะส่งเสริมให้คนอื่นคิดไปอย่างนั้นก็ได้ เพราะการเป็นคู่เต้นของเขา กำนันเปลวเต้นรำเก่งมาก ในทุกอย่างที่เขามีแล้ว เธอประทับใจในเรื่องนี้ของเขาที่สุด 

แต่มันก็แค่ประทับใจ มองเขาเหมือนพี่ชายหรือน้าอาผู้ชายไปโน่น และเธอก็เคยบอกกับเขาตรงๆ อย่างนี้ คนอื่นจะมองเธอกับเขาอย่างไรก็ตาม แต่เขาต้องรู้ว่า ความคิดของเธอที่มีต่อเขาเป็นอย่างไร แต่พอเธอพูดอย่างนี้ เขาก็จะหัวเราะย้อนกลับมาว่า

อย่ามาคิดเป็นญาติกับผมนะ ผมไม่ชอบเป็นญาติกับผู้หญิงสวยๆ 

สำหรับกำนันเปลวนั้น เธอขีดชื่อทิ้งไปได้เลย ต่อให้คิดว่าเขาชอบเธอ มันก็คงแค่ชอบ แต่ให้ถึงขนาดเลิกกับผู้หญิงทุกคน เพื่อเธอคนเดียว เธอรับประกันได้เลยว่า เขาไม่ทำแน่ กำนันเปลวไม่ได้รักผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น… ผู้ชายในชีวิต ที่พอจะทำให้เธอหลุดพ้นจากปัญหาการเงิน ก็มีเพียงกำนันเปลว แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับใคร หรือว่าชีวิตของเธอจะต้องเป็นอย่างที่เธอพูดเล่นๆ กับน้ากรองทองตอนเช้า...ขายตัวแลกเงิน

หญิงสาวยืนขึ้นถอนใจยาว ก้าวเข้าหาฝั่งช้าๆ สายตามองตรงไปยังบ้านที่อยู่ตรงหน้า จริงหรือว่ามันสำคัญสำหรับชีวิตของเธอ เธอจะต้องเอามันมาให้ได้เชียวหรือ หากไม่มีมัน ชีวิตเธอจะอยู่ไม่ได้อย่างนั้นหรือ เธอจะจะยอมเอาตัวเข้าแลก เพียงเพราะบ้านหลังนี้ละหรือ? 

แสงจันทร์ส่ายหน้าให้กับคำถามตัวเอง ชีวิตอีกสี่ชีวิตที่ต้องพึ่งพาเธอต่างหาก ทำให้ต้องคิดหนัก พนากำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย น้ากรองทองไม่มีที่ไปที่ไหน ป้าชงโคก็อยู่ที่มาตั้งแต่เธอจำความได้ มอริสกับเกร็ก สองคนนี้อยู่ติดที่นี่ และไม่เคยจะไปไหน หากจะต้องไปทำงานที่อื่นก็คงพอจะหางานทำได้สำหรับบาร์เทนเดอร์ และนักเต้น แต่ทั้งคู่ก็อายุจะปาไปหกสิบแล้ว งานใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ยิ่งหน้าฝนอย่างนี้ ทั้งโรงแรมและรีสอร์ต ยังหาทางให้พนักงานหยุดงาน เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายค่าแรงเลย

ความจริงเธอก็คิดเอาไว้เหมือนกันว่า จะพูดกับนายอัคคีนั่นอย่างไร แต่ก็เพราะไม่รู้จักนิสัยใจคอหน้าตามาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่คิดเอาไว้จะได้ไหม ถ้าหากไม่ได้...ถ้าก็คงวกกลับไปหากำนันเปลวเหมือนเดิม ด้วยข้อเสนอเดียวกัน เป็นการประวิงเวลาเอาไว้ เพื่อว่าเธอจะหาทางขยับขยายให้ทุกคนมีที่ทางไป 

แสงจันทร์เดินขึ้นบ้าน ที่เป็นบันไดหลบมุมอยู่อีกด้านหนึ่ง มีต้นแสงจันทร์บังเอาไว้ ตรงนี้เป็นเหมือนชั้นลอย เป็นห้องนอนของน้ากรองทอง ถ้ามองจากห้องมุขก็จะเห็นห้องนี้ได้อย่างชัดเจน

ป้าชงโค กำลังจัดอาหารที่โต๊ะ เป็นมุมที่ยื่นออกมาค่อนข้างเป็นสัดส่วน แยกจากบริเวณของร้าน แต่ก็มีบรรยากาศที่ดี เพราะมุมนี้มองเห็นทะเลได้อย่างสบายตา ไม่มีอะไรเกะกะ อย่างน้อยที่นี่ก็มีเวลาพร้อมหน้ากันคือตอน หกโมงครึ่ง ทุกคนจะขึ้นมานั่งกินอาหารร่วมกัน ก่อนที่จะได้เตรียมตัวเปิดร้าน ไม่เหมือนตอนเช้า ที่ต่างคนต่างสะดวก 

ในผับ ไม่ได้ใช้ดนตรีอะไรมากมาย จะมีก็แต่เครื่องเสียงที่กระหึ่มเร้าใจ ฝนเพิ่งจะหยุดตก อาจจะมีลูกค้าน้อย แต่เธอก็ถือเปิดเอาฤกษ์เอาชัยแค่นั้น 


แสงจันทร์อาบน้ำ แล้วใส่แต่ผ้าขนหนู เดินออกมา ที่นี่ไม่ได้มีห้องน้ำเป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่มีใครใช้กับเธอ เพราะเธออยู่ชั้นนี้คนเดียวมานาน จึงไม่ค่อยจะระวังอะไร

เธอเลือกชุดสีแดง สีนำโชคสำหรับเธอ น้ำหอมกลิ่นที่เธอไปผสมเองที่ร้านของเพื่อนยังมีอยู่ แต่เมื่อเปิดกระเป๋าเธอจึงมองเห็นว่า เชือกถักที่เธอคล้องเจ้าตุ๊กตาท้าจูบนั้นมันขาด ต้องเป็นตอนที่เธอล้มบนเรือนั้นแน่ๆ 

แวบหนึ่งที่เธอคิดไปถึงผู้ชายที่เห็นบนเรือ ท่าทางเนือยๆ เขาเดินลงมาทีหลังเธอ อาจจะเห็นแล้วเก็บมันไว้ แต่ ก็ไม่แน่ เขาอาจจะไม่สนใจ มันอาจจะตกซุกอยู่ที่ใดที่หนึ่ง บางทีพรุ่งนี้เธออาจจะไปถามพนักงานดู มันก็ไม่ใช่สิ่งของที่มีราคาค่างวดอะไร แต่นั่นเป็นตุ๊กตาท้าจูบของเธอ เธอมีมันมานาน มันเป็นความเคยชินของสิ่งที่มีติดตัวแล้วหายไป เธอคุ้นเคยและชอบเอานั่งดูเล่น มันทำให้เธอผ่อนคลายเวลามีเรื่องกลัดกลุ้ม

เธออยากเป็นเจ้าหญิงนิทรา ที่ถูกปลุกโดยผู้ชายสักคน แล้วเขาคนนั้นก็จะเป็นคู่ชีวิตของเธอตลอดไป เทพนิยายที่เธอใฝ่ฝันมันมีในตัวเธอ แต่เธอไม่อาจจะแสดงอะไรออกมา

แต่ใครละ ที่จะมาเป็นเจ้าชายของเธอ...เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับใคร ถึงกับจะใจเต้นตึกๆ เลยสักครั้ง ทำงานที่ผับ คอยเชียร์แขกเชียร์ลูกค้า สอนเต้นรำ ผ่านไปแล้วก็ผ่านเลย เธอมีกฏของเธอเอง 

รู้จักก็แค่ในผับเท่านั้น หากอยู่นอกสถานที่แล้ว เธอไม่คิดจะทักทายใคร ไม่คิดจะเป็นตัวสนิทสนมกับผู้ชายคนไหน เล่นมาหลายคนหน้าม้านไปเหมือนกัน ที่เธอเพียงแต่ยิ้ม แล้วก็ขอตัวแยกออกมา มันคืองาน และเธอก็ทำงานแค่ในผับ พ้นจากนี้ไปแล้ว มันขึ้นกับอารมณ์ของเธอ 



อัคคีเดินไปตามหาดทรายช้าๆ หลังฝนตกอากาศดี และดูเหมือนท้องฟ้าจะสว่างเพราะดวงจันทร์บนฟ้าไกล มันเพิ่งจะสามทุ่ม แต่ก็ดูสว่างไสว ร้านต่างๆ เปิดให้บริการแม้จะแทบไม่เห็นคน ต่อให้ไม่มีคนแค่ไหน กิจการก็ต้องดำเนินต่อไป แล้วอัคคีก็มองเห็นแสงไฟที่เป็นหย่อมๆ จากบ้านสองชั้นหลังคาทรงปั้นหยา มีมุกอยู่ด้านหน้าชั้นบน ด้านล่างเปิดโล่งเห็นแสงไฟเป็นจุดๆ ด้านหน้าก็เป็นลานยกพื้นสูงจากขายหาด โดยมีบันไดสองขั้นให้เดินขึ้นไป เป็นลานที่บางส่วนปลุกหญ้า แต่ก็มีลานเป็นหลุมกองฟืนที่ค้างอยู่ทำให้รู้ว่านี่คือกองไฟ รอบๆ ปลูกต้นแสงจันทร์เอาไว้ เหมือนเป็นขอบเขตของรั้วบ้าน แว่วเสียงเพลงลาตินจังหวะคึกคักดังออกมา ทั้งๆ ที่ด้านในนั้นมีลูกค้าไม่ถึงสิบ เมื่อย่างเข้าไปก็คือ บาร์เทนเดอร์ที่ยืนหันหลังอยู่ที่เคาน์เตอร์ เหมือนกำลังมองชายที่กำลังนั่งอยู่หน้าเปียนโนที่ไม่ได้เล่น ส่วนสะดุดตาของเขาอีกที่หนึ่ง และทำให้มั่นใจว่าเขามาไม่ผิดก็คือ มุมด้านซ้ายมือที่มีรูปภาพของเหรียญรูปดาวห้าแฉกอยู่ สตรีนางหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงสี่เหลี่ยม ตรงหน้าคือไพ่สำรับหนึ่ง และแก้วเหล้าแก้วหนึ่ง

“ถ้าคุณมาคนเดียว และยังไม่มีแฟน ถ้าคุณจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์ คืนนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ และเป็นฝ่ายเลี้ยงเหล้าคุณจนผับปิด” 

เสียงพูดสดใสดังแทรกขึ้นมาทำให้อัคคีหันกลับไป คิ้วเขาเลิกขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นร่างที่เขาคุ้นตาเพราะคิดถึงอยู่ตลอดเวลา เดรสสีแดงเข้ารูป ที่เธอสวมก็ดูธรรมดา เหมือนที่เคยเห็นทั่วไป เธอไม่ได้ใส่เครื่องประดับอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อมองเธอเยื้องกายเข้ามาหา อัคคีเหมือนใจหายใจติดขัดขึ้นมาทีเดียว เป็นเรือนร่างที่เปล่งออกมาต่างหากที่ดูเซ็กซี่และกระตุ้นอารมณ์ได้อย่างที่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะรู้สึกได้ถึงเพียงนี้ เขาหันไปมองรอบๆ มันราวกับว่าไม่มีใครสนใจ ความรู้สึกนี้มันเกิดกับเขาเพียงคนเดียว

และดูเหมือนว่าตัวเธอเองจะอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้ ไม่ได้แสดงว่าจดจำเขาได้หรอกเมื่อพูดต่อว่า

“ลองเสี่ยงทายดูสิคะ แม่หมอไม่ได้ต้องการอะไรกับคุณนอกจากเหล้าสักแก้วเท่านั้น”

อัคคียิ้ม “ผมเป็นคนมือขึ้นเรื่องนี้นะ”

“งั้นคืนนี้ฉันคงโชคดีแล้วสิคะ”

ท่าทีเธอมั่นใจ สดใสและขี้เล่น ไม่ได้มีแววหยิ่งๆ อย่างที่เขาคิด มันทำให้เขาคิดไปถึงเจ้าตุ๊กตาท้าจูบ ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเขาเลยทีเดียว

“เชิญค่ะ” 

อัคคีหันกลับไป ก็เห็นแม่หมอกรีดไพ่เป็นรูปครึ่งวงกลมอย่างสวยงาม

“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่า มีไพ่ใบนั้นในสำรับนี้”

แววตาสดใสของเธอเหมือนจะแข็งขึ้น ก่อนที่ริมฝีปากจะหยักยิ้ม ชี้ไปที่ป้ายเล็กๆ ด้านล่างของภาพเหรียญดาว เขาเห็นมีกระดาษแผ่นหนึ่งติดเอาไว้ มีภาษาโรมันเป็นเลขเก้า

“คุณเป็นคนพิเศษของคืนนี้ค่ะ เพราะคุณเข้ามาในนี้เป็นคนแรกที่มาคนเดียวหลังสามทุ่ม มันเป็นกฏของร้านเราเท่านั้น และถ้าคุณเลือกไม่ได้ แม่หมอจะเอาไพ่ใบนั้นในสำรับให้คุณดูก็ได้”

ไม่เลว ร้านนี้มีลูกเล่นดึงลูกค้าอย่างนี้ด้วย และที่เก่งก็คือ เธอไม่โกรธใส่ลูกค้า

“คุณชอบเลขอะไร ช่วยกันหน่อย ผมอยากให้คุณเลี้ยงเหล้าผมทั้งคืน?”

“สิบสาม”

เขายิ้มเมื่อได้ยินคำตอบเป็นลักกี้นัมเบอร์เสียอย่างนั้น 

“คุณไม่ได้ใจดีเหมือนรอยยิ้มแม้แต่น้อยเลยนะ แม้ผมก็เป็นคนที่เชื่อผู้หญิงสวยๆง่ายๆ ตั้งแต่แรกพบ แต่ขอลบออกไปสองเหลือสิบเอ็ดแล้วกัน เผื่อเราจะได้เป็นคู่กันหนึ่งต่อหนึ่ง”

แสงจันทร์เม้มปากน้อยๆ เมื่อได้ยินเขาพูด ใครจะไปคิดว่าผู้ชายคนนี้ต่อปากต่อคำเก่งอย่างนี้ และท่าทางเขาก็ดูสบายๆ เมื่อค่อยๆ นับไพ่จากด้านซ้ายมือไปจนถึงอันดับที่สิบเอ็ด

“เอาใบนี้ล่ะ”

หากเป็นวันอื่นๆ แสงจันทร์ก็คงไปช่วยลุ้นดูไพ่กับลูกค้าเป็นทีสนุกสนานจะออกมาใบไหนก็ได้ทั้งนั้น เพื่อสร้างบรรยากาศในร้าน แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ที่คืนนี้ใจคอเธอออกจะตื่นเต้นนิดๆ มันเหมือนไม่อยากให้เขาได้เพราะอยากจะสมน้ำหน้าท่าทีอวดดีนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะให้เป็นไพ่เดอะเลิฟเวอร์เสียงจริงๆ มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้เธออยากจะค้นหาท้าทายเล่น

“บอกแล้วไงว่าผมมือขึ้นเรื่องนี้”

เสียงของเขา ทำให้แสงจันทร์ต้องมองไปไพ่เดอะเลิฟเวอร์ที่แม่หมอหงายขึ้น ฟลุกขนาดนี้เหรอนี่ เธอมองมันแล้วก็หันไปสบตาน้ากรองทอง ซึ่งอีกฝ่ายเหมือนจะยักไหล่น้อยๆ 

“งั้นก็คงเป็นโชคดีของฉันแล้วคืนนี้ เชิญทางนี้เลยค่ะ”

แสงจันทร์เดินนำเขาไปที่เคาน์เตอร์บาร์ “ฉันเลี้ยงเหล้าคุณก็จริง แต่คุณต้องเลี้ยงเหล้าแม่หมอก่อน” 

แล้วเธอก็หันไปทางบาร์เทนเดอร์สั่งเหล้าในชื่อแปลกๆ ก่อนจะหันมาถามเขาว่า 

“จะรับอะไรดีคะ”

“ผมขอเบียร์ก่อนแล้วกัน มีไหม?”

“ว้า ฉันไม่ชอบเบียร์เลยค่ะ เราก็ดันมีกฏเสียด้วยสิว่า ลูกค้าดื่มอะไร ก็ต้องดื่มเป็นคู่กัน”

“ถ้าอย่างนั้นคุณนำผมตามดีกว่า จะดื่มอะไรผมตามคุณแล้วกัน”

เธอเลิกคิ้วมองเขายิ้มๆ “งั้นดื่มชานมเป็นไง”

อัคคียิ้มกว้าง พูดลากเสียงว่า “ผมก็ดื่มชานม...กับคุณ”

“นี่ครับ แก้วของแม่หมอ” บาร์เทนเดอร์ยื่นวางแก้วเหล้าตรงหน้าเขา

“หนึ่งพันค่ะ” 

อัคคีหรี่ตามองหญิงสาวข้างๆ ซึ่งเธอก็เลิกคิ้วมองเขาด้วยรอยยิ้มเฉยๆ ราวกับว่า ราคาอย่างนี้ มันธรรมดาเสียเหลือเกิน เขาหยิบกระเป๋าเงินออกมาวางใบละพันลงให้ นึกในใจว่า

เธอโกรธคำพูดกำกวมของเขาเมื่อครู่ แต่เขาก็ชักจะทะลึ่งเหมือนกัน แต่เธออยากเซ็กซี่มากทำไม...กับผู้หญิงเขาก็งั้นๆ แต่เธอนี่ทำเอาเขาเสียศูนย์ไปเลย

“เอาไปให้แม่หมอด้วยกันไหม ถ้ายังไงคุณจะขอให้แม่หมอดูดวงให้อีกก็ได้ ดูแม่นนะคะ”

เธอไม่รอคำตอบจากเขา แต่คว้าแก้วเหล้าแล้วเดินนำลิ่วไปก่อน อัคคียังนั่งอยู่ที่เดิมเมื่อมองเธอเดินไปที่นั่น เขาหันไปสั่งเตกีล่าสำหรับตัวเอง แล้วหันไปมองร่างปราดเปรียวเดินทักทายคนที่โต๊ะต่างๆ เขามองรองเท้าส้นสูงของเธออย่างเพลิดเพลิน ให้ตายไปเลย ไม่ว่าจะมองตรงไหน เขาเหมือนจะถูกใจไปหมด ส้นสูงขนาดนั้นเธอเดินอย่างไรกันถึงไม่พลิก ทีตอนกลางวันแค่รองเท้าสานธรรมดาเธอก็ยังพลิกเลย

จูบฉันสิ อัคคีคิดไปถึงตุ๊กตาที่เขานำมันมาด้วย เขาไม่คิดว่าจะเจอเจ้าของหรอก แต่ก็คิดว่าติดตัวมาด้วยเผื่อจะเจอ แถมไม่แน่อาจจะติดตัวตลอดจนกว่าจะเจอก็ยังได้ แต่เขาก็ได้เจอเธอ และเจอเร็วกว่าที่คิดเสียอีก อะไรดูมันจะเหมือนถูกจัดวางได้ถึงขนาดนี้ 

อัคคียิ้ม เมื่อมองริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงแช้ดของเธอ ยิ้มเก๋ ฟันสวย ผู้หญิงคนนี้ดูดีไปหมด นี่เขาไม่ได้นอนกับผู้หญิงมานานหรืออย่างไร ถึงได้ชื่นชมเธอนัก

เขาสบสายตาเธอ ขณะที่เธอกำลังเดินกลับมา แปลกที่เขามีความรู้สึกว่า ความกันเอง ความสดใส ที่เธอมีให้กับลูกค้าคนอื่นที่เธอทักทายเมื่อครู่ มันไม่ได้แผ่มาถึงเขา เธอดูเหมือนจะอึดอัด และไม่ค่อยจะกันเองกับเขานัก โทษเธอไม่ได้ มันอาจจะเกิดจากตัวเขาเอง ที่เอาแต่จ้องเธอขณะที่เธอเดินกลับมานั่งข้างๆ เขาอีกครั้ง

“รู้อะไรไหม?” เธอพูดมองเขาด้วยสายตาที่เขาคิดว่าเธอกำลังยิ้ม “แค่คุณเข้ามาในร้านนี่ คุณมองฉันเท่ากับผู้ชายทั้งโลกที่เคยมองฉันรวมกันแล้ว”

อัคคีถอนหายใจ “คิดแล้วว่าคุณต้องรู้สึกได้อย่างนั้น”

เธอไหวไหล่น้อยๆ ก่อนจะแก้วที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้ มันเป็นเตกีล่าไม่ต่างจากที่เขาสั่งเมื่อครู่ให้กับเธอ โดยที่ไม่ต้องสั่ง ซึ่งพอจะทำให้เขาคิดว่า เธออาจจะพูดจริง… เขาดื่มอย่างไร เธอก็ต้องดื่มอย่างนั้น

ชายหนุ่มมองเธอเหยาะเกลือที่มือระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้แล้วใช้ลิ้นเลียเกลือก่อนจะกระดกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแล้วหยิบมะนาวขึ้นไปกัดด้วยทีท่าชำนาญ น่าดูและเซ็กซี่มาก ในสายตาเขา เธอคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดที่ร้านเลยก็ว่าได้

“ก็แสดงว่าคุณเก่งในเรื่องทำให้ผู้หญิงรู้สึกอึดอัดด้วยสิ” เธอพูดต่อ วางแก้วเตกีล่าว่างเปล่าไว้ตรงหน้า

“ขอโทษ ที่ชื่นชมคุณออกนอกหน้าไปหน่อย มันอดไม่ได้น่ะ” เขาตอบแล้วหันไปทางบาร์เทนเดอร์สั่งเหล้าอีกแก้ว ถามเธอตรงๆ ว่า

“คุณชื่ออะไร?” 

“วันนี้ฉันยังไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองเลย และโดยกติกาของคืนนี้ ฉันจะไม่ถามชื่อคุณค่ะ” เธอตอบแล้วก็ยิ้มเพยิดหน้าไปทางฟลอร์ที่มีชายหญิงคู่หนึ่งเต้นกันในจังหวะซัลซ่าอย่างสนุกสนาน

“เต้นรำเป็นไหม?” 

“เอวอ่อนอ้อนแอ้นอย่างนั้นผมเต้นไม่เป็น”

“ฉันสอนให้ ไม่ยากหรอก”

“ผมว่า...” 

“จะนั่งอยู่ทั้งคืนแบบนี้ได้ยังไง อย่างน้อยออกไปยืนดูฉันเต้นก็ยังดี มาเที่ยวทั้งที่ทำตัวให้สนุกเข้าไว้ มาค่ะ” เธอลุกขึ้น แล้วดึงเขาตามไปด้วย

อัคคียิ้มแม้จะต้องไปยืนเก้ๆ กังๆ ขณะที่เธอส่ายร่างอย่างเซ็กซี่อยู่ต่อหน้า สายตาของเขาไม่ได้พลาดไปจากเรือนนร่างที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะพลิ้วไปตามดนตรีอย่างเร่าร้อน ผุ้หญิงที่มั่นใจตัวเองจะเต้นได้อย่างสวยงาม มันดึงเอาความมั่นใจ ความเซ็กซี่ในตัวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และธรรมชาติของผุ้หญิงตรงหน้า ก็ทำให้เขาทึ่งและสนุกไปกับเธอ จนกระทั่งเพลงจบ

“คุณนี่ แน่มากเลย ไปยืนทื่อแบบนั้นในจังหวะนี้ได้ยังไง” เธอพูดเมื่อกลับมานั่งที่เดิม “รู้ไหม ฉันเสียหน้าชะมัดที่คุณไม่ได้มีอารมณ์ไปด้วยเลย”

“ก็ผมบอกคุณแล้วว่า ผมเต้นไม่เป็น”

“ฉันไม่อยากเชื่อ” เธอยังบ่น “คุณไม่แม้แต่จะขยับขา ทำได้ยังไง อารมณ์ตายด้านแบบนี้” 

“คนสวย ผมแค่เต้นไม่เป็นและไม่อยากเต้น ไม่ได้ตายด้านรับรองได้” อัคคียืนยัน มองใบหน้าที่มีเหงื่อซึมเล็กน้อยของเธอ “แล้วตกลงคุณจะเอาใจผม หรือจะให้ผมเอาใจคุณกันละคืนนี้”

แสงจันทร์อึ้งไป คำพูดของเขามันทำให้เธอตระหนักว่า เธอกำลังใช้อารมณ์ส่วนตัวต่อว่าเขา และมันไม่เคยเกิดขึ้น เธอเคยเอนเตอร์เทนแขกมากกว่าที่จะมาค่อนแคะอย่างนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอนะคืนนี้ อาจจะเป็นเพราะท่าทางของเขาคนนี้มั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม เขาดื่มไม่มาก ไม่ใช่เพราะไม่สนุกท่าทางเขาก็ดูเขาสบายๆ มองสำรวจทุกอย่าง แต่เห็นจะเป็นเพียงใบหน้าของเธอละมัง 

“ฉันไม่ให้คุณแย่งหน้าที่เอาใจฉันหรอก เดี๋ยวก็โดนไล่ออกเท่านั้น คุณไปนั่งที่โน่นไหม เดี๋ยวฉันจะยกเตกีล่าไปเสริฟให้?” เธอเพยิดหน้าไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า ที่ถัดไปจากโต๊ะแม่หมอไปสองสามโต๊ะ รับลมได้เย็นสบาย
“ไปด้วยกันดีกว่า” เขาบอก 

แสงจันทร์ถอนใจเบาๆ แล้วก็พยักหน้าให้เกร็ก ที่เหมือนจะมองเธออย่างขำๆ ก่อนจะจัดการอย่างที่สั่ง แล้วสักครู่ทั้งคู่ต่างก็ถือแก้วเหล้าของตัวเองเดินมานั่งที่โต๊ะด้านหน้า ลมพัดไม่แรงนัก แต่ฟังเสียงคลื่นได้เป็นจังหวะ ทั้งคู่นั่งตรงข้าม ดื่มเตกีล่าในท่าทางไม่ต่างกัน รามกับว่าต่างคนต่างจะเลียนแบบอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ แล้วอัคคีก็เป็นฝ่ายถามขึ้นว่า

“คุณกลัวอะไรที่สุดในชีวิต”

“ฉันกลัวการหลงทางมากที่สุด”

“งั้นคุณก็ไม่ได้กลัวผม”

หญิงสาวเอียงคอมองเขา “คิดว่าตัวเองน่ากลัวตรงไหนหรือคะ?”

“ตรงที่ ทำให้ผู้หญิงตกหลุมรักผมได้ง่ายนี่ละมัง”

แสงจันทร์หัวเราะแม้จะคิดว่า มันเป็นไปได้สูงจริงๆ ที่เขาจะคุยโวอย่างนี้

“ฉันมีวิธีจัดการกับผู้ชายแบบนี้”

“คุณจะทำอย่างไร” เขาเลิกคิ้วถาม มองเธออย่างท้าทาย

“ฉันจะเกาะติดคุณไปในทุกๆ ที่ ให้คุณเบื่อฉัน จนคุณต้องแสดงอะไรร้ายๆ ออกมา แล้วฉันก็เกลียดคุณไปเองนะสิ” เธอพูดยิ้มๆ 

อัคคีนิ่งมองเธอ ผู้หญิงคนนี้ไมได้สวยอย่างเดียว แต่ฉลาดชะมัด 

“ก็แล้วจะเกิดอะไรขึ้น แม้ผมจะร้าย แต่คุณก็ยังไม่วายจะรัก ไม่ได้เกลียดอย่างที่คุณนึกว่าจะเกลียดได้”

แสงจันทร์นิ่งมองเขาชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ “ถึงตอนนั้น คุณก็คงจะหลงรักฉันหัวปักหัวปำ แล้วเราก็คงจะกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมกันแล้วล่ะ”

อัคคีขมวดคิ้ว “คำตอบนี้ โกงกันชัดๆ”

“ไม่ได้โกง เพราะอะไรรู้ไหม?” เธอยิ้มโกงๆ เมื่อพูดต่อว่า “หัวใจฉันไม่เคยดึงดูด คนที่เกลียดฉันนะสิ”

อัคคีหัวเราะ แล้วก็ส่ายหน้า แบบนึกไม่ถึงว่า เธอจะตอบแบบนี้

“ฉันจะไปเอาเหล้ามาให้คุณ” 

แสงจันทร์ตัดบทเปลี่ยนเรื่องแล้วก็ลุกขึ้น แต่ก็งง เมื่อเห็นเขาลุกตาม 

“ในเมื่อคุณไม่อยากอยู่คุยกับผม ผมเลยจะตามติดคุณเอง” อัคคีบอกเมื่อเห็นสายตาเป็นเชิงถามของเธอ

“ฉันไปเอาเหล้ามาให้คุณนะ”

“ผมจะไม่รำคาญหรอก หากคุณจะใช้วิธีตามติดอย่างนี้กับผม และก็จะสนุกมากด้วย ที่เห็นผู้หญิงที่หลงรักผมคนหนึ่งพยายามทุกทางเพื่อจะชนะใจผม” เขายิ้ม เมื่อพูดเป็นนัยต่อว่า “ช่วงนี้ผมว่าง อาจจะอยู่ที่นี่สักหลายๆ วัน”

ลูกเล่นแพรวพราว จริงๆ แสงจันทร์คิด แม้ว่าเธอต้องทำตามกติกาของไพ่เดอะเลิฟเวอร์คืนนี้ แต่ลึกๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่รักษาคำพูดหรอก เพราะธอสนุกไปกับเขาด้วย ผู้ชายคนนี้เหมือนจะมองง่าย แสดงอย่างเปิดเผยว่าคิดอย่างไรกับเธอ แต่เขารักษาระยะห่าง เขาเป็นฝ่ายทำควบคุมเกมอยู่ ไม่ใช่เธอ เขาไม่ได้ปฏิบัติตามคำพูดของเธอสักอย่าง เขาทำตัวเหมือนเหยื่อที่ติดใจชอบพอเธอ แต่แท้จริงแล้ว เขาคือผู้ล่าต่างหาก 

หญิงสาวเดินกลับไปทางฟลอร์เต้นรำ มีแขกไม่ถึงสิบอยู่บนฟลอร์ และอีกเพียงสองสามโต๊ะเท่านั้น ลูกค้าน้อยจนแทบจะไม่คุ้มกับค่าไฟ ยังดีที่ร้านเปิดโล่ง ให้อากาศถ่ายเทเข้ามาได้

“ที่นี่ปิดกี่โมง” 

“หลังเที่ยงคืน แต่วันนี้” 

เธอยักไหล่เหมือนไม่อยากพูด เพราะตอนนี้ แขกที่เหลืออยู่มีเพียงเขา และหนุ่มสาวอีกสิบกว่าคนเท่านั้น ที่ยังสนุกกับการเต้นอยู่

“เลิกงานแล้วไปดื่มต่อ กับผมไหม?”

แสงจันทร์มองหน้าเขา แต่ก็เห็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเปิดเผยเหมือนเดิม ธออยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง เธอทำงานอย่างนี้มานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าแต่ละคนมีความคิดอย่างไร ตัวเธอเองก็ยังต้องยอมรับว่า เธอต้องเอาบุคลิกและรูปร่างของตัวเองประกอบไปด้วย มันก็ไม่ได้เกินเลยอะไรไปนัก หากจะมีใครสักคนยุ่มย่ามเพราะความเมาหรือเจตนาล่วงล้ำ เธอจัดการได้หมด แต่ดูเหมือนกับผู้ชายคนนี้ เขาจะดักคอ ได้ทุกอย่างที่เขาต้องการเลย มันก็สนุกดีที่ได้คุยกับเขา

“ฉันมีหน้าที่ต้องปิดทำความสะอาดผับค่ะ ไปไหนไม่ได้”

อัคคีพยักหน้า เขาไม่ได้เซ้าซี้ในสายตาของเขา ผู้หญิงก็คือผู้หญิง และถ้าเป็นผู้หญิงที่ทำงานในนี้แล้ว ก็ต้องใจกล้ากันหน่อย ในเมื่อเขามาเที่ยวต้องการความสนุกบันเทิง เขาก็จะจ่ายในสิ่งที่เงินซื้อได้ และคืนนี้ มันก็เป็นตัวเธอเองที่เสนอตัวออกมาอย่างนี้ อัคคีจึงไม่คิดว่าเขาจะต้องระวังความคิดอะไร ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็จบ มันก็แค่ความพอใจทั้งสองฝ่ายเท่านั้น

ทั้งคู่กลับมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง แล้วเขาก็เห็นชายที่กำลังง่วนอยู่ที่เครืองเสียง ทำสัญญาณบางอย่างให้กับเธอ เธอพยักหน้า ก่อนจะพูดกับเขาว่า 

“คุณนั่งคนเดียวสักครู่ได้ไหม”

เขาแกล้งขมวดคิ้ว เหมือนไม่พอใจ แต่เธอก็พูดว่า

“ฉันไม่ได้ไปไหนไกล จะเต้นรำให้คุณดู ได้เวลาโชว์เดี่ยวปิดงานของฉันแล้ว”

เธอผละไปที่กลางฟลอร์ ที่ตอนนี้หรี่ไฟลง มันเหมือนโชว์บนเวที ที่คนเต้นบนฟลอร์เมื่อครู่จะถอยกลับไปนั่งที่โต๊ะ เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น พร้อมกับจังหวะเพลงเร่าร้อน อาการเยื้องกายด้วยลีลาราวกับนักเต้นมืออาชีพของเธอก็เกิดขึ้น อัคคีมองแล้วก็ยิ้ม เพราะไม่นึกว่าผับเล็กๆ อย่างนี้จะมีการนำเสนอแบบนี้...และให้ตาย เธอร้อนแรงจริงๆ

อัคคีหายใจติดขัดขึ้นมาเสียเฉยๆ กับความรู้สึกที่เผาตัวเอง เพียงแค่เห็นเธอเต้น เขามองไปรอบๆ สังเกตคนอื่นๆ ทุกคนต่างจ้องไปที่เธอ แต่เขาไม่รู้ว่า จะมีคนเป็นอย่างเขาบ้างไหม แต่ก็เห็นว่า ทุกคนต่างก็จ้องเธอเป็นตาเดียวเหมือนกัน แต่สายตาคู่หนึ่ง ที่สบกับเขา ก็ทำเอาเขานิ่งไปด้วยความสงสัย แม่หมอคนนั้น จับตามองเขาอยู่นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ได้ และก็ราวกับว่า หล่อนจะรู้ไปถึงความคิดของเขา

อัคคีเมินหน้ากลับส่งเหล้ามาดื่ม เขาไม่แคร์หรอกว่าแม่หมอคนนั้นจะหยั่งรู้ว่า เขากำลังคิดอะไร เพราะนี่มันเรื่องของเขา และจะพูดไป มันก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ผู้ชายจะคิดอย่างนั้น

เสียงเดินทำให้เขาหันตัวกลับ เธอกำลังเดินมาหาเขา ผมเธอยุ่งเหยิง มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ อยู่บนหน้าผากเธอ เธอหายใจแรง เมื่อมานั่งที่เก้าอี้ใกล้เขาตัวเดิม

“เหนื่อยไหม?” เขาถาม

“ฉันสนุก ฉันชอบเต้นรำ” 

เธอตอบอย่างเปิดเผยแม้จะไม่ตรงกับทำถาม แล้วยื่นมือไปรับขวดน้ำจากบาร์เทนเดอร์อย่างรู้ใจ มันทำให้เขารู้สึกว่า พนักงานที่นี่คงจะอยู่ด้วยกันมานาน และคุ้นเคยกันดี แต่ดูๆ แล้ว ก็มีคนไม่กี่คนที่ทำงานในนี้ แต่มันอาจจะเป็นช่วงหน้าฝนนี้ก็ได้ 

อัคคียกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด ก็ปุบปับลุกขึ้น

“ผมจะกลับ ออกไปส่งผมหน่อยได้ไหม?”

“ได้สิ”

แสงจันทร์ลุกขึ้น แล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขา ออกไปที่ประตู ผ่านไปยังโต๊ะแม่หมอ ที่มองอย่างสงสัย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีคนจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์ไม่กี่คน แต่ไม่มีใครที่จะลุกออกจากผับก่อนที่จะปิดเลย 

“บริเวณผับถึงไหน” อัคคีถามลอย

“ถ้าหน้าท่องเที่ยว เราก็จัดโต๊ะเต็มลานนี้เลย” เธอชี้ไปที่ลานด้านนอก

“งั้นเราไปยืนตรงนั้นกัน”

แสงจันทร์ขมวดคิ้ว “ทำไม?”

“ก็จะได้รู้ว่า คุณยังอยู่ในบริเวณผับ และยังต้องทำตามสัญญาอยู่นะสิ”

“แต่คุณบอกจะกลับ”

“คุณทำให้ผมเปลี่ยนใจได้ง่ายมากเลย ผมอยากยืนดูทะเลกับคุณตรงนั้นได้ไหม”

แสงจันทร์ไม่ตอบ แต่ก็เป็นฝ่ายเดินนำหน้าเขาอีกเช่นเคย เธอไปหยุดยืนที่ปลายสุดของลาน สูดมหายใจเอากลิ่นน้ำทะเลที่ลมพัดมา

อัคคีมองหญิงสาวที่ยืนนิ่ง สายลมพัดเส้นผมเธอกระจาย ชุดทีใส่นั้นเล่า ก็พริ้วไปตามแรงลมปลายกระโปรงสะบัดไปตามแรงลม เขามองเรียวขาเธออย่างหลงใหล เขาแพ้ขาสวยๆ ของผู้หญิง แต่กับผู้หญิงคนนี้ เขาเหมือนจะแพ้ไปเสียทุกอย่าง เมื่อยอมรับกับตัวเองว่า เขาต้องการเธอ...อาจจะไม่ใช่คืนนี้ แต่ต้องได้แน่ ก่อนที่เขาจะออกจากเกาะนี้ไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเขา 

“ผมไม่ค่อยจะเจอพระจันทร์สวยๆ อย่างนี้”

แสงจันทร์เหลือบสายตามองพระจันทร์ ใช่มันสวยอย่างที่เขาพูด เพราะกำลังทอแสงนวล มีรัศมีโดยรอบไม่กว้างหนักแต่ที่มันสวยก็คงเพราะ ท้องฟ้าสีเข้มดำขับให้มันกระจ่างนวลมากกว่า

“ฉันเจอบ่อยๆ แต่ก็มองไม่เบื่อ”

“คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน”

“ตั้งแต่เกิด”

“อยากไปอยู่ที่อื่นบ้างไหม”

“ไม่”

“ทำไม?”

แสงจันทร์ยิ้ม ก่อนจะตอบเล่นๆ ว่า “ฉันกลัวคำสาป พอออกจากเกาะนี้ไป ฉันจะกลายเป็นยายแก่หนังเหี่ยว”

อัคคีส่ายหน้า หัวเราะเบาๆ “ไม่จริง เพราะตอนผมเห็นคุณอยู่บนเรือ คุณก็สวยและดูมั่นใจตัวเอง เพียงแต่ไม่เซ็กซี่เท่าตอนนี้”

แสงจันทร์เลิกคิ้วนิดๆ “แสดงว่า คุณเคยเห็นฉันมาก่อนเหรอ?”

เขาพยักหน้า แล้วก็ยิ้มอย่างมาดหมาย เมื่อพูดว่า

“และ ผมมีอะไรมาให้คุณด้วย?”

“อะไร?”

อัคคีแบมือเอาตุ๊กตาท้าจูบ ให้เธอดู แสงจันทร์จะเอื้อมมือไปหยิบ เขาก็กำเอาไว้ พูดว่า 

“ผมเล่นตามกฏคุณทุกอย่างแล้วนะคืนนี้ และอันนี้ผมก็ไม่พลาดแน่ เพราะ...ผมไม่ใช่นายทึ่ม”

แสงจันทร์ไม่ได้ตั้งตัว แต่ก็ถูกเขากอด ศีรษะถูกตรึงด้วยมือข้างหนึ่งของเขา แล้วใบหน้าของเขาก็ก้มลง เขาเลียริมฝีปากเธอเบาๆ ก่อนที่จะสอดลิ้นเข้าไป มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนแสงจันทร์ไม่ทันตั้งตัวและไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำ แต่ในอารมณ์อย่างนี้ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบสนอง และคิดว่าการที่เธอนิ่ง จะทำให้เขาหยุด แต่มันก็กลับกลายเป็นว่า เธอเคลิบเคลิ้มไปกับเขา เพลิดเพลินไปกับการจูบ ยกมือโน้มศีรษะของเขา ขณะที่มือของเขาก็ลดต่ำไปที่สะโพกของเธอ กระชับมันแนบแน่น เพียงแค่ได้จูบไม่พอสำหรับเขาเสียแล้ว 

“ไปกับผมเถอะ” เขาถอนริมฝีปาก กระซิบที่ข้างหู

“ไม่” แสงจันทร์ปฏิเสธ แล้วผลักอกเขาเบาๆ ถอยหลังมายืนตัวสั่นน้อยๆ มองเขาด้วยความสับสน ให้ตายเลยสิ แค่จูบเฉยๆ ทำไมเขาถึงทำให้เธอเป็นไปได้ถึงเพียงนี้

อัคคีถอนหายใจยาว เขาต้องการเธอนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเซ้าซี้ เมื่อถูกปฏิเสธ 

“คุณเป็นพนักงานที่เยี่ยมมาก ถ้าผมเป็นเจ้าของผับจะเลื่อนให้คุณเป็นผุ้จัดการเลย กุดไนท์”

เขาใช้จมูกแตะที่แก้มเธออีกครั้ง ก่อนจะผละจากไป ทิ้งให้แสงจันทร์มองตามหลังร่างที่เดินห่างออกไปด้วยความงุนงง แต่เมื่อเขาลับเลี้ยวเข้าไปในทางเดินมืดๆ เธอก็สูดลมหายใจลึกๆ สองสามสามครั้ง

แสงจันทร์มองดวงจันทร์แล้วขมวดคิ้ว...มนต์แสงจันทร์ อย่างนั้นหรือ เธอไม่เคยจะต้องมนต์มันสักครั้ง แต่ทว่าคืนนี้...เขาปลุกบางอย่างในตัวเธอขึ้นมา แรงปรารถนาที่ร้อนแรงอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหน 

ไม่หรอก หญิงสาวสั่นหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง...มันไม่ใช่เป็นเพราะจูบของเขาหรอก มันเป็นเพราะตัวเธอ กับปัญหาของเธอ...อัคคี ผู้ชายที่เธอจะต้องเผชิญหน้า โดยที่เธอไม่รู้ว่า เขาเป็นคนแบบไหน เธอจึงอยากจะทำอะไรๆ สักอย่างให้มันสะใจไปเลย ปล่อยตัว ปล่อยใจ ไปกับใครสักคน แค่คืนนี้ คืนเดียว...

และเขาคนนี้ ไม่เพียงจะจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์ แต่เขายังมีอภิสิทธิ์ที่จะได้จูบเธอ โดยที่เธอปฏิเสธไม่ได้ด้วยสิ...แต่บ้าจัง เขาจูบเธอ โดยไม่คืนเจ้าตุ๊กตาท้าจูบตัวนั้นให้เธอด้วย

แสงจันทร์เดินกลับเข้าไปในผับเธอไม่ได้โกหกที่บอกว่าจะต้องช่วยปิดร้าน เพราะตั้งใจจะเดินไปเก็บแก้วและจานพวกของขบเคี้ยวไปวางด้านในที่อ่างล้าง พนาจะเป็นคนทำหน้าที่ล้าง ขณะที่เกร็กก็จะเก็บพวกเหล้าทำความสะอาดเคาน์เตอร์ และมอริสก็จะเก็บพวกเครื่องเสียงทำความสะอาดในส่วนของเขา ทุกคนต่างมีหน้าที่ช่วยกันหมด จะมีก็แต่น้ากรองทองและป้าชงโคเท่านั้น ที่จะขึ้นไปนอนเลย ซึ่งเป็นเธอเองนั่นแหละที่เป็นบอกให้ทำอย่างนั้น แต่วันนี้น้ากรองทองยังไม่ขึ้นไป และกำลังยืนรอเธออยู่

“เขาเป็นใคร?”

“แสงไม่ได้ถาม”

“เขาจ้องหนูตาเป็นไฟ ไม่ยอมให้หนูคลาดสายตาเลย”

“ก็ผู้ชายคนไหนไม่มองแสงตาเป็นมันบ้างละคะ” เธอแกล้งโอ่นิดๆ 

“แต่หนู จูบกับเขา”

“น้ากรอง” แสงจันทร์เน้นเสียง รุ้สึกร้อนที่หน้าขึ้นมาทันใด 

“หนูให้เขาจูบปากหนูด้วย ชอบเขาใช่ไหม?”

“ก็แค่จูบ มันไม่มีความหมายอะไรหรอกค่ะ” แสงจันทร์ตัดบท จะเดินหลีกเข้าไปด้านใน แต่นางกรองทองจับข้อศอกเธอเอาไว้

“น้าไม่เชื่อ อย่ามาเดินหนีน้านะ หนูเองก็อยู่ติดกับเขาทั้งคืน”

“ก็เขาจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์นี่คะ แสงก็ทำตามกติกาที่ตั้งไว้สิ” 

เธอเถียง แต่น้ากรองทองมองเธอแล้วส่ายหน้า ถามอีกว่า

“บอกมาเขาพูดอะไรกับหนูไหม ชวนหนูไปเที่ยวกับเขาไหม” 

แสงจันทร์ไม่ทันได้ตอบ นางกรองทองก็พูดต่อว่า

“ถ้าเขามาชวนหนูเที่ยว หรือออกไปไหนข้างนอก หนูต้องไปกับเขา เพราะนี่คือคู่แท้ของหนู น้าทายมาตั้งแต่เช้า และตั้งแต่หนูตั้งกฏไพ่เลิฟเวอร์มา ก็ไม่เคยมีใครจับแต่แม้แต่ครั้งเดียว”

หญิงสาวเม้มปาก ไม่อยากบอกออกไปตรงๆ เลยว่า คู่แท้ที่น้ากรองทองเชื่อนักหนานั้น เขาชวนเธอแล้ว ชวนไปนอนกับเขาไงล่ะ

“แสงไม่สนใจค่ะ เพราะคนที่แสงหมายตาเอาไว้ไม่ใช่คนนี้ น้ากรองก็รู้นี่คะว่าใคร นายอัคคีไงคะ พรุ่งนี้เขาก็จะมาแล้ว ทนายเสกสรรโทรมาบอกเมื่อหัวค่ำ”

พูดแล้วแสงจันทร์ก็ผละขึ้นบันได ไม่ได้ไปช่วยพนาเหมือนอย่างที่คิด ความจริงแล้วเธอไม่อยากพูดให้น้าสาวสะเทือนใจหรอก แต่ก็ไม่อยากให้น้ากรองทองปักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ ผู้ชายเมื่อครู่ แม้เขาจะสนใจเธอ แต่ก็ทำให้เห็นได้ชัดว่า ออกไปทางไหน และเขาก็คงอยู่อย่างมากไม่เกินคืนสองคืน บ้าตายล่ะ หากเธอจะคิดตามใจตัวเองรับนัดกับเขา ชีวิตเธอใช่ว่าจะตายวันตายพรุ่งเสียที่ไหนจะได้รีบร้อนอย่างนั้น เธอไม่ได้คิดที่จะสะสมประสบการณ์ในเรื่องพรรค์อย่างนี้ด้วย

แสงจันทร์ถอดชุด แล้วอดจะมองดูตัวเองในกระจกไม่ได้ เธอคิดว่าเธอก็เหมือนเช่นทุกวัน หากแต่ประกายตามันแจ่มชัดเหลือเกิน มาถึงตอนนี้ อยู่คนเดียว ในโลกของเธอเอง เธอก็ต้องยอมรับว่า เธอหวั่นไหว...ตั้งแต่แรกที่เห็นหน้าเขาแล้ว

สัมผัสของเขาทำให้เธอร้อนรุม เธอเพลิดเพลินพึงพอใจที่ได้จูบกับเขา ไม่ได้รู้สึกโกรธเมื่อรู้เจตนาของเขา เธอรู้สึกว่ามันใช่ เขาปลุกอารมณ์ของเธอขึ้นมาได้ และเธอก็เผลอไผลควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอเสียศูนย์ เธอพอใจกับความรู้สึกที่อยู่ใกล้ รับรู้ถึงความร้อนที่แผ่มาจากตัวเขา วิธีทีเขารับมือกับเธอ วิธีที่เขาพูด สัมผัสเล็กน้อยแต่ก็ทำอยากให้เธอได้เพิ่ม 

จินตนาการทุกอย่าง มันเหมือนกับที่เธออยากได้รับเหมือนดูในภาพยนตร์ มือเธอเกาะกุมไหล่กว้างกำยำ เธออยากลูบไล้มัดกล้ามสัมผัสเขา แม้เพียงน้อยนิด

อาการเสียดสีช่วงล่างอย่างที่เขาจงใจ แต่ก็เป็นไปตามธรรมชาติ เธอจะโกรธในสิ่งที่เขาเชิญชวนไม่ได้ เพราะสายตาของเขา เหมือนจะรู้ในปฏิกิริยาของเธอ 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ มันสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ เธอคิดว่า ตัวเองหลงรักผู้ชายคนนี้ เธอรู้ถึงความผิดปกติของตัวเอง เธอไม่เคยเสียการควบคุมไปมากขนาดนี้...แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็คงจบลงเพียงแค่นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เธอก็คงเก็บเอาไว้ในซอกแห่งความทรงจำ...เพราะรู้ว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ เธอต้องอยู่กับความเป็นจริง เธอจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาครอบงำ เธอมีหน้าที่มีงานที่จะต้องทำ มากกว่าตัณหาเพียงชั่วข้ามคืน

เขาก็คงอยู่อย่างมากไม่เกินคืนสองคืน บ้าตายล่ะ หากเธอจะคิดตามใจตัวเอง ชีวิตเธอใช่ว่าจะตายวันตายพรุ่งเสียที่ไหนจะได้รีบร้อนอย่างนั้น เธอไม่ได้คิดที่จะสะสมประสบการณ์ในเรื่องพรรค์อย่างนี้ด้วย คนแรกที่จะได้เข้าสู่ตัวเธอ จะต้องเป็นสามีของเธอเท่านั้น

และคนที่เธอตั้งหน้ารอคอยอยู่ หมายหัวเอาไว้แล้วก็คืออัคคีโน่นต่างหาก ขอให้ได้เห็นหน้าค่าตา ดูท่าทีเขาก่อนเถอะ ถ้าพอไหว และเป็นโสด เสน่ห์มีเท่าไหร่เธอจะทุ่มใส่เขาคนเดียวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

****************





ไฟรักเพลิงแสงจันทร์ 


บทที่ ๑ 




เมื่อมองเห็นร่างที่ยืนหันหลังให้ที่ริมระเบียง ทำให้ร่างอวบท้วมของสตรีที่กำลังจะตรงเข้าไป ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะฉีกยิ้มเดืนอย่างกระฉับกระเฉงตรงไปยังร่างที่นั่งหันหลังให้ตรงระเบียง

“หนูแสงตื่นแต่เช้า”

“นอนไม่ค่อยหลับต่างหากป้าชง” น้ำเสียงติดจะหยันๆ ตอบกลับมา โดยที่เจ้าตัวไม่หันกลับ

นางชงโค มองอย่างเห็นใจ แต่ก็คิดว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน เลยได้แต่ถอนใจ เดินไปที่ครัวเล็กๆ

“เอาแพนเค้กลูกเกดไหมคะ ป้าจะทำให้”

“อยากได้ปาท่องโก๋รอ้นๆ มากกว่า แต่แพนเค้กก็ได้ค่ะ” คนพูดบอกแล้วก็ถอนใจยาวออกมาแล้วลุกขึ้น

นางชงโคหันไปมองร่างที่สวมเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงผ้าฝ้ายหูรูดแบบไม่มีอะไรอยู๋ใต้นั้นอีก เดินมากดน้ำร้อนลงถ้วยกาแฟ แล้วก็ย้อนกลับไปนั่งขัดสมาธิที่โต๊ะไม้หนาเตี้ยๆ สีดำเป็นมัน กิริยานี้ ทำให้นางคิดไปถึงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ชอบมานั่งขัดสมาธิท้าวคาง มองนางทำกับข้าวทุกวัน แต่ไม่ใช่ที่ครัวตรงนี้หรอก มันเคยอยู่ข้างล่างเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ที่จะยังเหมือนเดิม ก็คือท่าที่นั่งเหมือนกำลังใช้ความคิดตอนนี้ล่ะ

“คุณแสงจะทำยังไงต่อไปคะ”

“เตรียมตัวไปเป็นนางในฮาเร็มกำนันเปลวมังคะ”

“อย่าพูดเป็นเล่นอย่างนั้นไม่ดีค่ะ”

ไหล่เปลือยที่พ้นตัวเสื้อยักขึ้นน้อยๆ อันเป็นกิริยาเคยชินของคนทำ เมื่อตอบว่า “ก็จะให้แสงทำยังไงละคะ จะเอาปัญญาที่ไหนไปหาเงินใช้หนี้เขา”

นางชงโคนิ่ง อย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เพราะก็รู้ปัญหาในเรื่องนี้ดีเหมือนกันว่า กำนันเปลวนั้นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของแสงจันทร์ หนี้นั้นมันไม่ได้เกิดจากที่ไหน แต่มันเป็นหนี้ที่ต้องยืมมาให้นายอินสรทั้งนั้น ในขณะที่รายได้เดียวจากผับนั้นมีแทบจะไม่พอจ่ายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซันไม่มีนักท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายทุกอย่างมาจากการยืมทั้งนั้น และคนให้ยืมก็ช่างใจดีให้ไม่อั้นเสียด้วย จากที่ได้ยินกิตติศัพท์นางก็พอจะรู้หรอกว่า กำนันเปลวนั้นต้องการอะไรจากแสงจันทร์

“ไว้รอคุณอัคคีมาก่อนดีไหม บางทีเราน่าจะบอกกับเขาได้ว่า ที่นี่ยังเป็นหนี้ ถ้าหากเขาจะขาย ก็น่าจะแบ่งคุณแสงบ้าง”

“ฮึ ใจดีอย่างนั้นก็ดีสิ” แสงจันทร์ยักไหล่ พูดเสียงหยันๆ ต่อว่า “มันควรจะเป็นของแสงทั้งหมด ไม่ใช่รอขอส่วนแบ่งจากใคร ก่อนตายก็ทำลายชีวิตคนอื่นแล้ว หลังตายก็ยังมาทำลายความหวังของแสงอีก”

“คุณแสงจันทร์” นางชงโคเน้นเสียงเรียกเหมือนเตือน

“ก็จะให้พูดยังไงล่ะ คนมันอารมณ์ไม่ดีนี่”

“อารมณ์ไม่ดี ก็ให้เงียบเอาไว้ ดีกว่าจะพูดสิ่งที่ไม่ดีออกมา”

“แสงก็ไม่ได้พูดกับใคร นอกจากกับป้า” แสงจันทร์เถียง ก่อนหายใจเฮือกออกมา “คิดไปอีกที ก็ดีเหมือนกันนะเป็นเมียน้อยกำนันเปลว...เอะไม่ใช่เมียน้อยสิ เมียแกตายไปแล้ว หนี้ก็ไม่ต้องจ่าย ดีไม่ดี แสงยุให้ซื้อผับนี่เอาไว้ให้แสงได้อีกต่างหาก อายุก็ใช่ว่าจะมากมายอะไร ยังไม่เข้าห้าสิบด้วยซ้ำ แถมยังหล่ออีกต่างหาก...เออ คิดดี พูดดีเหมือนกันนะแสงจันทร์แกนี่”

แสงจันทร์ชมตัวเองในตอนท้ายแล้วก็หัวเราะหยันๆ ก่อนจะลุกเดินไปกดน้ำร้อนในกระติก แล้วเดินไปที่ราวระเบียงที่เธอนั่งมองทะเลอยู่เมื่อครู่

หญิงสาวมองฟ้าสว่างขึ้น แต่ก็ไม่มีใครเดินเล่นที่ชายหาด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ เมื่อคืนฝนตกหนักก็ได้ ช่วงนี้เป็นหน้าฝนไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยว ซึ่งมันก็ทำให้งานศพ ที่ผ่านไปเมื่อสองอาทิตย์ ไม่ได้ทำให้ขาดรายได้อะไรเท่าไหร่ และเธอก็คงไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเมื่อเก็บศพนายอินทรไว้ร้อยวันเพื่อรอวันเผา หากทนายเสกสรร หรือที่เธอเรียกว่าลุงเสกจะไม่ได้บอกกับเธอว่า นายอินทรทำพินัยกรรมเอาไว้ และยกบ้านหลังนี้...บ้านอันเป็นที่ตั้งของผับมนต์จันทรา ให้หลานชายของเขา

อัคคี ชื่อนี้ทำเอาเธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ โกรธโมโหไปหมด มันเป็นความโกรธปนความผิดหวัง เมื่อรู้ว่า บ้านหลังนี้จะไม่ได้เป็นของเธออย่างที่คิด

เธอหวังว่าที่นี่จะตกเป็นของเธอ เพราะเธอดูแลมันมาตั้งแต่ที่นายอินทรล้มเจ็บ และเขาเองก็เคยพูดด้วยว่า จะยกที่นี่ให้กับเธอ

“โสมแขรักที่นี่ และฉันจะรักษาที่นี่ไว้ให้ลูกสาวของผู้หญิงที่ฉันรัก”

ก่อนนั้นผับเป็นที่ขึ้นชือของนักท่องเที่ยว แต่เมื่อกิจการทรุด การแสดงโชว์กลางแจ้งก็ลดลงไป แต่เธอก็ยังพยายามให้มันเป็นแหล่งรื่นรมย์ สำหรับนักเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำในธรรมชาติ มองเห็นแสงดาว แสงจันทร์และลมโชย มีฟลอร์เต้นรำด้วยจังหวะสนุกครื้นเครง หรือแม้กระทั่งโรแมนติกหวานล้ำ ที่ชานกว้างริมหาดด้วย

มันพอเลี้ยงตัวเองได้ หากจะไม่หมดไปกับการพนันและค่าเหล้าของนายอินทร

ห้าปีที่แม่เสียชีวิตและนายอินทรหมดความสนใจในทุกอย่าง เธอก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับที่นี่ เธอรักในสิ่งที่เธอทำ เธอรักผับซึ่งเป็นบ้านของเธอ เธอรักเกาะนี้ เธอรักที่นี่ เธอไม่คิดจะไปไหน ต่อให้มันขาดทุน ลุ่มๆ ดอนๆ ต่อการหาเงินมาจ่ายพนักงานในช่วงโลว์ซีซัน ในช่วงที่เธอเองต้องประหยัด และอาจจะต้องหยิบยืม เพื่อทำให้กิจการดำเนินต่อไปได้ เธอมั่นใจว่า มันจะต้องเป็นของเธอ เธอไม่เคยคิดเป็นอื่น ช่วงงานศพของนายอินทร เธอก็นั่งอยู่ดึกดื่นหลายคืน เพื่อดูบัญชีรายรับจ่าย มีอะไรบ้างจะลดลง มีอะไรบ้างที่เธอจะปรับปรุง ไปในทิศทางที่เธอต้องการ เธอคิดว่าเมื่อถึงฤดูกาลท่องเที่ยวมาถึง เธอจะมีเงินเข้า เงินที่หมดไปนายอินทรอย่างไร้ค่า ก็จะค่อยทยอยใช้หนี้และประคองที่นี่ให้อยู่ได้ไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าหนี้ไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่า นายอินทรจะทำพินัยกรรมเอาไว้อย่างนั้น

เธอถูกหักหลัง แสงจันทร์กำราวระเบียงแน่น ใบหน้าเธอเชิดขึ้น เมื่อรู้สึกเจ็บปวด กับการที่เธอหลงเชื่อพ่อเลี้ยงของเธอเอง เธอยิ้มหยันๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เธอตอบขอบคุณเขา ในตอนที่เขาพอจะมีสติ ก่อนที่จะสิ้นลมว่า

“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแสงจันทร์ ไว้ใจฉันนะ”
แสงจันทร์สูดลมหายใจลึก แม้จะยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหน แต่เธอคิดจะซื้อคืนหากนายอัคคีนั่นจะไม่คิดทำอะไรที่นี่ แล้วเธอก็นึกปวดใจอยู่เหมือนเดิมว่า มันเป็นของเธอ ทำไมเธอจะต้องซื้อแค่พินัยกรรม กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้นเองนะหรือที่ทำให้เธอสูญเสียสิ่งที่เป็นของเธอไป

แสงจันทร์มองไปยังโขดหินสีดำๆ ที่อยู่ไม่ไกล ถัดจากนั้นก็เป็นป่ารก แต่เธอกำลังคิดไปถึงที่ดินประมาณสิบไร่ของเธอ ซึ่งมันก็กลายเป็นสิ่งค้ำประกันหนี้ที่กำนันเปลว มันเป็นที่ค่อนข้างรก และไม่ได้ติดชายหาดแสนสวยอย่างนี้ ไร้นักท่องเที่ยว เพราะมีแต่โขดหินและหน้าผา ทางเข้าก็ลาดชัน หากจะไปได้สะดวกก็คือ เดินข้ามโขดหินน้อยใหญ่ที่เธอเห็นอยู่ตรงนี้ไป เธอเคยอยากขายแต่มันก็ยากที่จะมีคนมาซื้อในราคาที่เธอต้องการขาย เพราะที่มันไม่สวย

แต่ตอนนี้มันคงจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอ เพราะเธอคิดจะขายตรงนั้น เพื่อมาซื้อที่นี่...แต่ใครล่ะจะมาซื้อ และให้ราคาได้มากพอ ถ้าไม่ใช่กำนันเปลว และมันจะเหลือสักเท่าไหร่กันถ้าหักลบกลบหนี้กันแล้ว เพราะที่เธอยืมกำนันเปลวมานั้น มันก็ดอกทบต้นไปเรื่อยๆ อยู่

หญิงสาวแค่นยิ้มออกมา เมื่อคิดไปถึงเจ้าหนี้รายใหญ่…แม้กำนันเปลวนั้น จะไม่แสดงเจตนาตรงๆ ว่าต้องการอะไร แต่คุณระพีน้องสาวภรรยาผู้เสียชีวิตไปแล้วของเขาก็มักจะกระแนะกระแหนใส่เธอบ่อยๆ ด้วยความหึงหวง

“ผู้หญิงสมัยนี้มันง่ายจัง ถ่างขาเสียหน่อยก็มีเงินใช้”

เธอไม่เคยสนใจคำพูดนั้น เพราะไม่คิดจะไปเป็นเด็กหรือเมียเก็บของใคร กำนันเปลวก็ไม่ได้บีบคั้นอะไรเธอ เยาอาจจะคิดว่าเธอเป็นของตายสำหรับเขาแล้วก็ได้...แต่ตอนนี้หากตัดความตะขิดตะขวงใจที่ว่า เขาไม่คิดจะแต่งงาน กับการมีผู้หญิงเป็นกระตักของเขาแล้วละก็ หนุ่มใหญ่ท่าทางอารมณ์ดีอย่างนี้ ก็คงทำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายล่ะ

“คุณอัคคีจะมาที่นี่เมื่อไหร่คะ?”

แสงจันทร์หันกลับมา มองนางชงโคที่เอาจานแพนเค้กมาตั้งไว้ที่โต๊ะเล็ก แพนเค้กที่ทอดสีน้ำตาลน่ากินเมื่อราดด้วยน้ำผึ้ง ข้างๆ ไม่ได้มีเพียงลูกเกดอย่างที่เธอชอบ แต่ยังมีลูกกีวีหั่นมาเคียงด้วย

“ไม่รู้ค่ะ” แสงจันทร์ตอบนั่งลงที่เก้าอี้

“ทนายเสกไม่ได้บอกหรือ”

“แสงไม่ได้ถามค่ะ ไม่สนใจ ไม่มาได้ยิ่งดี ไม่มีคนชื่อนี้อยู่ในโลกยิ่งดีใหญ่”

คำสุดท้ายเหมือนเจ้าตัวจะโมโหนิดๆ แล้วส้อมที่กระแทกไปยังกองแพนเค้กก็บ่งบอกอารมณ์ได้ดีทีเดียว แสงจันทร์ไม่ได้ตัดให้มันชิ้นเล็กลง แต่ใช้ส้อมจิ้มไปมาให้มันม้วนเข้าหากันพอที่จะเอาเข้าปากได้ อารมณ์ไม่ดีเธอชอบกินของหวานๆ มันช่วยได้เยอะ

“วันนี้คุณแสงจะเปิดร้านไหมคะ?”

“เปิดสิ ปิดมาตั้งหลายวันแล้ว เดี๋ยวสายๆ แสงจะข้ามฝั่งไปเอาเหล้า กำนันเปลวบอกให้เด็กเตรียมไว้ให้แล้ว”

“จะให้พนาไปด้วยไหม ป้าจะได้ปลุกให้เตรียมตัว” นางชงโคพูดถึงหลานชายของนางที่เป็นแรงหลักคนหนึ่งของที่นี่ แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบหก

“ไม่ต้องค่ะ แสงไปคนเดียว ทางนี้จะได้อยู่ช่วยกันทำความสะอาดร้าน ยังไงก็ต้องกลับมาก่อนเรือเที่ยวสุดท้ายค่ะ”

“จะออกไปไหนแต่เช้าแสงจันทร์”

เสียงถามทำให้แสงจันทร์และนางชงโคหันกลับไปมอง สตรีร่างแบบบางในชุดคลุมสีฟ้าบางๆ ใบหน้าซีดเซียวที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมยาวยุ่งเหยิง แต่เจ้าตัวไม่สนใจ เมื่อเดินตรงเข้ามา

“น้ากรองตื่นแต่เช้า” แสงจันทร์ทักขึ้น

“น้านอนไม่ค่อยหลับ ฝันเห็นคุณอินสร”

ริมฝีปากของแสงจันทร์เหยียดเยาะ ก่อนจะพูดว่า

“งั้นเดี๋ยวไปตักบาตรให้ มาบอกว่าจะกินอะไรละคะ”

“พี่อินทร์ เขามาบอกว่า อย่าห่วงทุกอย่างจะเรียบร้อยในเร็วๆ นี้”

“งั้นพวกเราก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วสินะคะ” น้ำเสียงเหมือนโล่งอกเปล่งออกมาจากปากเหมือนเจ้าตัวกำลังขัน ก่อนที่น้ำเสียงเสียดสีจะดังต่อมาว่า “ผีมาบอกแล้ว”

“อย่าพูดอย่างนี้ไม่น่ารัก” กรองทองพูดเสียงหนัก

เจอดุอีกครั้ง แสงจันทร์ก็กระแทกส้อมจิ้มแพนเค้กเข้าปากใหม่ ก็ใช่ไม่รู้ตัวว่า พูดไม่เพราะ แต่ก็อดไม่ได้ ความจริงแล้วน้ากรองทองก็ไม่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ แต่เป็นเพื่อนของแม่ มาอยู่ที่ผับนี้ตอนที่น้ากรองทองหย่ากับสามีที่เป็นชาวต่างประเทศ แล้วได้เงินก้อนหนึ่งมาช่วยแม่ในตอนที่เกิดวิกฤตการเงิน แต่เธอรู้ว่าแม่คืนไปหมดแล้ว แต่น้ากรองก็ยังอยู่ช่วยทำงานในผับ เป็นนักร้อง เป็นหลายๆ อย่าง แล้วก็กลายเป็นแม่หมอดูไพ่ยิบซีประจำผับ น้ากรองทองเป็นคนชักจูงนายอินทรมาให้รู้จักกับแม่ พ่อเลี้ยงของเธอ เป็นคนดี เธอยอมรับ เขารักแม่ของเธอ แต่พอเกิดอุบัติเหตุนายอินทรขับรถตกไหล่เขา แม่เธอเสียชีวิต ส่วนเขาขาพิการ ซึ่งมันทำให้เขาเปลี่ยนไป กลายเป็นคนขี้เหล้า ฉุนเฉียว และติดการพนัน มีขาประจำที่มาเล่นไพ่กับเขาที่ห้องพักด้านล่างแทบทุกคืน ก่อนที่เขาจะป่วยหนักเพราะฤทธิอัลกอฮอล์ และคนที่จะรองรับอารมณ์ของเขาได้คนเดียวก็คือน้ากรองทอง ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นมันมองง่าย ซึ่งเธอเองก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยว แม้จะนึกสงสารและแปลกใจว่า ทำไมน้ากรองทองผู้แสนจะบอบบางถึงได้อดทนต่อเขาได้ขนาดนี้ แต่ที่เธอแน่ใจก็คือ น้ากรองทองหลงรัก นายอินทรมาตั้งแต่แม่ยังมีชีวิตอยู่

“นายอัคคีนี่หล่อไหม? น้ากรองเคยเห็นเขาไหมคะ” แสงจันทร์ถามขึ้นแล้วใช้ส้อมจิ้มแพนเค้กชิ้นใหม่เข้าปาก

“ถามทำไม?”

“ก็อยากรู้ว่า ระหว่างกำนันเปลว กับนายอัคคีนี่ใครหล่อกว่ากัน จะเลือกข้างถูก”

คิ้วที่เขียนเอาไว้ด้วยสีน้ำตาลของน้าสาวขมวดเข้าหากัน “เอะ...เป็นอะไรทำไมพูดจาแบบนี้”

“ก็แสงกำลังจะทำตัวเป็นนางเอกในนวนิยายไงคะ น้ากรอง...ขายตัวใช้หนี้”

“แสงจันทร์ พูดดีๆ นะ ใครจะไปให้เธอทำอย่างนั้น ปากจัดแล้วนะ”

แสงจันทร์ ตบปากตัวเองเบาๆ ยิ้มให้น้าสาว พูดว่า
“งั้นจะพูดใหม่ จะพูดดีๆ แสงกำลังจะหาผู้ชายแต่งงานด้วยค่ะ อยากได้ผู้ชายรวยๆ ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าจะบอกว่าเราอยากแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ แต่รวยอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องหล่อด้วย และต้องรักแสงด้วย...ไงคะ มีทั้งรวย หล่อ รัก แถมแต่งงานด้วยครบสูตรเลยนะ สิ่งดีๆ ทั้งนั้น ที่แสงพูดถึงไม่ได้หยาบตรงไหนเลย ตอนนี้ก็สต๊อกกำนันเปลวแล้วคนหนึ่ง ส่วนอีกคนยังไม่เห็นคงต้องรอให้เขามาเสียก่อน เราควรให้โอกาสศัตรูของเราด้วยใช่ไหมคะ แสงเลยถามหานายอัคคีไง น้ากรองรู้จักหรือเปล่า”

หญิงสาวย้ำถามอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้คิดจะเอาคำตอบ เมื่อลุกขึ้น ปิดปากหาว “แสงไปนอนอีกสักชั่วโมงแล้วจะออกไป”

“ก่อนจะออกไป เข้าไปหาน้าด้วย จะดูไพ่ให้” คุณกรองทองสั่งทันที

แสงจันทร์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่แล้วก็ตอบว่า

“ค่ะ”

วันนี้เป็นวันแรกที่จะเปิดร้านหลังจากที่ปิดไปตอนงานศพ น้ากรองทองเป็นแม่หมอที่ดูไพ่ในร้าน ไม่ได้บริการฟรี แต่ให้ลูกค้าจ่ายเป็นดริงค์ เธอไม่ค่อยอยากจะดูนักหรอก แม้จะยอมรับเหมือนกันว่า น้ากรองดูได้แม่น และในทุกคืนวันเพ็ญ เธอก็จะจัดมีคืนพิเศษสำหรับลูกค้าผู้โชคดีเหมือนกัน ก็ถ้าหากฝนไม่ตก ในคืนนี้ก็ขอให้จันทร์เต็มดวงทีเถอะ เธอต้องการโชคจริงๆ ในระหว่างที่กำลังสิ้นหนทางอย่างนี้ อะไรเธอก็คว้ามาเป็นความหวังทั้งนั้น ทั้งๆ ที่มันริบหรี่เต็มทนแล้ว

กรองทอง มองตามหลังสตรีที่เธอรักดุจหลานสาวไป แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ไอ้เรื่องพูดเรื่อยเจื้อยของแสงจันทร์นี่ ทำให้ต้องคิดหนัก เพราะบางครั้งนึกว่าแสงจันทร์พูดเล่น แต่ที่ไหนได้เอาจริง และในสถานการณ์ตอนนี้ เธอก็กลัวนักว่า แสงจันทร์จะเอาจริงเพราะความโกรธ ความผิดหวัง และถ้าลงแสงจันทร์จะทำก็ไม่มีใครห้ามได้หรอก ยิ่งตอนนี้แล้วละก็...แสงจันทร์ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรจะยึดเหนี่ยวอะไรอีกแล้ว

“คุณกรองจะเอานมไหมคะ เดี๋ยวพี่จะเตรียมให้” นางชงโคถาม

“เอามาก็ดีค่ะ” กรองทองตอบ “แสงจันทร์คุยอะไรกับพี่บ้างละคะ”

“ก็เหมือนที่พูดเมื่อกี้ละค่ะ แต่ก็น่าเห็นใจนะคะ ไม่รู้ว่าหลานชายคุณอินสรจะเป็นคนยังไง”

“ดูเหมือน พี่อินทร์ก็ไม่ได้สนิทกับเขานักหรอกค่ะ แต่ทำไมถึงได้ยกที่นี่ให้เขานะ ยัยแสงมันจะบ้าตายอยู่แล้ว พูดเสียจนกรองไม่สบายใจ กลัวจะไปอีหนูกำนันเปลวนั่นจริงๆ”

“อย่ากังวลเลยค่ะ คุณแสงแกก็โมโหผิดหวังเท่านั้น อีกอย่างก็ไม่รู้แน่ว่าทางคุณอัคคีเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าอะไรชัดเจนขึ้น เดี๋ยวก็คงหาทางออกได้เองหรอกค่ะ”

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ ทางกำนันเปลวยิ่งจ้องอยู่ด้วย อย่างน้อยรายคุณอัคคีก็ยังดี เพราะเขาเป็นหลานพิอินทร์ กรองเชื่อนะคะว่า พี่อินทร์คงคิดดีแล้วล่ะ”

นางชงโคส่ายหน้านิดๆ เมื่อเดินไปที่ครัวเพื่ออุ่นนมมาให้ นางเองก็อยากเชื่อนายอินสรเหมือนอย่างกรองทองอยู่หรอก หากก่อนจะเสียชีวิตนายอินสรจะไม่ติดเหล้าอารมณ์ร้ายเล่นการพนันผลาญเงินอยู่อย่างนั้น

อัคคีดับเครื่องยนต์ เปิดประตูรถลงมา เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของเรือ ชายหนุ่มไม่สนใจใคร เมื่อเดินไปที่นั่งตรงด้านหน้า ที่มีคนอยู่ไม่ถึงยี่สิบ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศ มันอาจจะเป็นเรือเที่ยวสุดท้ายจึงไม่ค่อยมีคน หรือไม่ก็เพราะ ช่วงนี้ไม่ใช่เวลาที่คนจะมาเที่ยว

ชายหนุ่มหยิบเอาแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ แล้วก็เดินไปชิดขอบกระจกมองฝ่าออกไปยังทะเลตรงหน้า เขาตัดสินใจปุบปับที่จะมาที่นี่ หลังจากที่ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของลุงอินสร ซึ่งเป็นพี่ชายคนเดียวของแม่ของเขา เขาไม่ค่อยจะสนิทกับญาติทางแม่มากนัก และเมื่อแม่เสียชีวิตพ่อของเขาแต่งงานใหม่ จึงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับญาติทางแม่อีก แต่เขาก็ได้รับการติดต่อจากลุงอินสร มีเรื่องให้ช่วยเหลือ และเป็นการช่วยเหลือที่ค่อนข้างจะมากเหมือนกัน สำหรับญาติที่ไม่ได้ติดต่อกันหลายปี

แต่ลุงอินสรไม่ได้ขอความช่วยเหลือเขาเฉยๆ แต่มีโฉนดที่ดินที่อยู่ชายทะเลเป็นหลักค้ำประกัน และไม่มีวี่แววว่าจะคืนเงินเขา แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้ข่าวอีกทีก็ต่อเมื่อลุงของเขาเสียชีวิตไปร่วมสองสัปดาห์แล้ว

แต่มันก็เป็นสองสัปดาห์ ที่เขาไม่คิดจะโทษตัวเอง เพราะมันเป็นช่วงที่อาจจะพูดได้ว่า เขากำลังเก็บตัว และไม่ต้องการติดต่อกับใคร โดยเฉพาะผู้หญิง เขาไม่สนใจว่าใครจะติดต่อมา จะเรียกได้ว่าเขาอยู่ระหว่างการสร้างภาพก็ได้ เขากำลังสร้างภาพแย่ๆ เพื่อจะหนีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่ามันคงจะได้ผล หากเขาไม่มีเงิน ก็คงไม่มีใครมาวุ่นวายด้วยแล้วเป็นแน่

เขาคงไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก หากเจ้าหล่อนนั่นจะไม่ได้เป็นแฟนของเพื่อนรักของเขา เขาไม่อยากมีปัญหาเรื่องผู้หญิงกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงอย่าง เพียงมาศ เขาไม่คิดว่าการที่เขาพลาดไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบนั้นจะเป็นเหตุให้หล่อนเอาเรื่องนี้มาแบคเมลเขา การที่เขาปล่อยข่าวว่าเสียพนันจนกระทั่งต้องขายคอนโดเรือนล้านออกไปใช้หนี้ คงจะทำให้หล่อนได้หยุดคิดอยู่บ้างละว่า ระหว่างคนที่กำลังถังแตกติดการพนันอย่างเขา กับทายาทเศรษฐีอย่างทวีกิจ เพื่อนของเขานั้น หล่อนควรจะเลือกใคร

อัคคีถอยกลับมานั่งที่เก้าอี้ เอามือถือขึ้นมาคิดว่าจะโทรไปที่บริษัท แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เก็บมือถือไว้ ไม่คิดจะบอกกับใคร แม้แต่กิ่งแก้ว เลขานุการของเขา ซึ่งทันทีที่เขากลับมาถึงก็รีบบอกเขาเลยว่า เพียงมาส ตามหาเขาให้วุ่น และมีทนายความชื่อเสกสรรโทรหาเขาสองสามครั้งแต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร พอๆ กับที่ผู้หญิงที่ชือแสงจันทร์โทรมาสองสามครั้ง ไม่สั่งอะไรไว้เช่นกัน

ทั้งคู่อาจจะตามตัวเขาเพราะเรื่องงานศพ แต่ตอนนั้นเขาอยู่ที่มาเก๊า ไม่ได้ไปเล่นการพนัน อย่างที่พยายามทำให้เป็นข่าว ก็ถ้าหากเขารู้ว่าจะเป็นเรืองการตายของลุงอินสร เขาก็คงไม่เพิกเฉยหรอก เพราะอย่างไรท่านก็เป็นญาติคนเดียวของเขา

และเขาก็คงไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าท่านได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินนั้นให้เขา หากทนายเสกสรรจะไม่ได้โทรหาเขาอีกครั้งเมื่อวานนี้ ทนายเสกสรรคุยกับเขาไม่นานนัก เพราะอยากจะคุยแบบเจอตัวกันมากกว่า แต่ก็พอจะทำให้เขารู้ว่า ลุงอินสรของเขาได้แต่งงานกับแม่ม่ายลูกติดคนหนึ่ง และไม่วายที่จะพูดให้เขาฟังว่า

“ถ้าคุณจะไปที่เกาะ ก็ระวังอารมณ์คุณแสงไว้หน่อยแล้วกัน เพราะคุณแสงคิดว่าผับนั่นเป็นของตัวเอง ท่าทางออกจะผิดหวังและโกรธมากเมื่อรู้ว่า คุณอินสรยกให้คุณ”

“ไม่บอกไปล่ะว่า ไม่ได้ยกให้เฉยๆ ใช้แทนหนี้ต่างหาก”

จำได้ว่าเขาย้อนไปขำๆ อย่างนั้น เพราะลุงอินสร ไม่ได้ขาดเงินเพียงครั้งเดียวในตอนนั้น แต่ปีละครั้งสองครั้งที่เขาจะต้องโอนเงินให้ท่านตามที่ขอมา อย่างไม่สนใจว่าจะได้คืนหรือไม่ ก็พอให้กันได้เขาก็ให้ เขาคิดอย่างนั้น การที่ลุงอินสร จะทำพินัยกรรมยกบ้านที่ดินให้เขา มันจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองฉกฉวยเอาของใครมาเลยจริงๆ

“ความจริงแล้วคุณอินสร อยากจะยกที่นี่ให้เป็นของคุณแสงจันทร์ ถ้าคุณอัคคี ไม่มีปัญหาอะไร ก็ลองพิจารณาดูก็แล้วกันว่าจะช่วยเหลือคุณแสงจันทร์ได้ยังไง แต่ถ้าต้องการจะขายก็มีคนสนใจอยู่แล้วนะครับ ผมติดต่อให้ได้ และถ้าขายแล้ว ก็อยากจะให้คุณแบ่งให้คุณแสงจันทร์บ้าง ผมสงสารน่ะ เห็นทำงานงกๆ เพราะนึกว่าจะเป็นของตัวเอง นี่ถ้าไม่มีหนี้ ผมว่าคุณอินคงไม่ยกให้คุณหรอก”

เขาเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรหรอก แต่เพราะตอนนั้น เพียงมาสเดินเข้ามาในห้องพอดี เขาจึงแกล้งตอบกลับไปเสียงดังว่า

“ถ้ายังไงผมอาจจะขายเอาเงินมาใช้หนี้ก็แล้วกัน”

เมื่อเริ่มที่จะโกหกแล้ว ก็ดูเหมือนจะต้องโกหกเป็นลูกโซ่ไปอีกเรื่อยๆ โชคดีที่ธุรกิจของเขา ได้หุ้นส่วนที่มีชื่อเสียง จึงไม่กระทบกับงาน มันจึงเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาจะต้องแก้ปัญหา และปล่อยให้มีการซุบซิบกันไปเองระหว่างคนที่พอรู้จัก

อัคคีถอยกลับมานั่งที่เก้าอี้ว่างๆ แต่สายตาก็ยังมองออกไปข้างหน้าเช่นเดิม เขาแวะไปหาทนายเสกสรรแล้วก่อนจะมาขึ้นเรือ แต่ทนายไม่อยู่ จึงได้แต่โทรหาและนัดว่าจะมาคุยกันในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับทำความรู้จักครอบครัวลุงอินสรไปด้วย เขาคิดว่าควรจะไปทำความเคารพรู้จักเอาไว้ และแสดงความเสียใจ พร้อมบอกเหตุผลที่เขาไม่ได้มางานศพ...ส่วนเรื่องบ้านและที่ดินนั้น เขาคิดว่า มันเป็นสิทธิ์ของเขา เขาจะไปดูก่อนว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง และถ้าหากจะขาย เขาก็คิดว่าจะเอาเพียงเงินในส่วนที่เขาเสียไปเท่านั้นคืนมา ที่เหลือก็ยกให้ภรรยาใหม่ของลุงอินสรไป เขาไม่คิดจะเอามากไปกว่าที่เขาเสียไปเลยจริงๆ ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อรู้จักภรรยาใหม่ของลุงแม้แต่น้อย และจากที่ฟังๆ ดู เขาก็คิดว่า แสงจันทร์ภรรยาของลุงออกจะเค็มไม่น้อยเหมือนกัน ลุงอินสรไม่เคยคุยให้ฟังเลยหรืออย่างไรว่า ยืมเงินเขามา จะมาโกรธเขาได้อย่างไร

ชายหนุ่มนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำว่า ระยะเวลาสั้นๆ ท้องฟ้าที่สว่างก็มัวซัว และฝนก็โปรยปรายลงมาตั้งแต่ตอนไหน แต่หน้าฝน ที่นี่คงไม่มีนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ ก็ดีเหมือนกัน เขาอาจจะพักอยู่ที่นี่ได้นานหน่อย เขาต้องการความสงบเงียบๆ จริงในตอนนี้

ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อเรือจอดเทียบท่า เขาไม่รีบร้อนอะไร และรู้ตัวว่าเป็นคนสุดท้าย เพราะสตรีสาวสวยนางหนึ่งกำลังเดินมาอีกด้านหนึ่งของเรือ ท่าทางไม่ได้รีบเร่งเช่นกัน แต่ก็สะดุดตาเขาในทันที เขาประมวลภาพได้ว่าเป็นคนสวยแม้ว่าใบหน้าของเธอจะมีแว่นกันแดดปิดบัง เธอสวมกางเกงรัดรูปขาสามส่วน เสื้อจั้มเอวลอยโชว์ส่วนท้องแบบราบ สะพายกระเป๋าลายดอกสดใส เสียงกำไลเงินดังกระทบกันเมื่อเธอเดินฉับๆ พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย เธอไปถึงบันไดก่อนเขาไม่กี่ก้าว และไม่ได้มีวี่แววว่าจะสนใจเขาแต่งอย่างใด

อัคคีเดินไปถึงบันได เรือก็เหมือนจะโคลงเล็กน้อย แล้วเขาก็ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ มองลงไป สาวสวยเมื่อครู่ของเขา คุกเข่าอยู่กับพื้น เธอคงจะสะดุดบันไดหกล้ม เขาเห็นเธอลุกขึ้นหยิบเอากระเป๋าสะพาย เดินไปได้สองสามก้าวเธอก็หยุดชะงักกวาดสายตามองรอบๆ พื้น และคงไม่เห็นอะไรจึงเดินตรงไปที่รถกะบะ ที่จอดอยู่เลยหน้ารถเขาออกไปอีกสามสี่คัน

แม้จะอยู่ที่หัวบันได แต่อัคคีก็เห็นในสิ่งที่มันหล่นลงมา และกลิ้งไปยังด้านข้างๆ ไม่ห่างจากทางที่รถเขาจอดอยู่นัก เขาเดินไปเก็บสิ่งที่ตกลงมาแล้วก็ยิ้มนิดๆ หันไปมองเธอ แต่ก็เห็นท้ายรถของเธอเคลื่อนพ้นเรือไปแล้ว เขาเข้าไปในรถ เอาสิ่งที่เก็บได้วางไว้เบาะข้างๆ แล้วก็ติดเครื่อง ตามออกไปบ้าง

ก็แค่ตุ๊กตานิโกรตัวหนึ่ง อาจจะไม่สำคัญก็ได้

อัคคีขับรถไปตามเส้นทางบังคับที่ขึ้นไปยังเนินเขา ฝนตกหนักมันทำให้เขาต้องระวังมากขึ้น แล้วก็ตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าไปที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ที่เขาคิดว่าสะอาดและใหญ่พอควร เขาจอดรถ แล้วก็คว้ากระเป๋าเดินทางใบหย่อมที่เบาะหลัง แต่เมื่อจะเปิดประตูรถก็นึกขึ้นได้ จึงหันไปคว้าเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะลงจากรถ

พนักงานต้อนรับชายใส่เสื้อฮาวายสีฟ้าสด แต่ก็ไม่ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น เพราะฝนที่ตกกระหน่ำ และใช้เวลาไม่นานในการติดต่อห้องพัก เพราะช่วงนี้ไม่มีนักท่องเที่ยว และไม่ได้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย

“มีกระเป๋าที่รถไหมครับ”

อัคคีสั่นหน้า มันเป็นเพียงกระเป๋าเดินทางใบหย่อมแม้จะตั้งใจมาพักสักเดือน เขาก็มีมาไม่กี่ชุด อยู่ทะเลจะใส่อะไรมากมาย หาซื้อเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแถวนี้ ก็อยู่ได้เป็นเดือนแล้ว

“เชิญทางนี้ครับ”

อัคคีถือกระเป๋าเอง เมื่อพนักงานนั้นแบกร่มคันใหญ่เดินนำหน้าเพราะฝนยังตกอยู่ ความจริงแล้วเขายังมีโน๊ตบุ้กอยู่ในรถ แต่คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปทีหลังก็ได้ เขาไม่คิดที่จะมาทำงาน แต่มันก็เป็นความเคยชินในการที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ติดมาด้วย เผื่อฉุกเฉินจะได้แก้ไขอะไรทัน

ชายหนุ่มเดินตามทางคอนกรีตยกพื้นที่ด้านข้างปลูกต้นไม้จำพวกใบยาวสลับกับไม้พุ่มเตี้ยๆ ปลูกขนาบไปทั้งสองข้าง มีบ้านไม้เรียงกันหลายหลัง ทุกบ้านมีระเบียงด้านหน้า บางหลังก็มีมีบ่อเลี้ยงปลาเล็กๆ ด้วย ที่นี่ดูร่มรื่นล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม แล้วคนเดินนำก็เลี้ยวออกไปทางซ้ายด้านติดทะเล

“หลังนี้ครับ”

พนักงานเดินนำขึ้นไป เปิดประตูบ้าน พร้อมกับเปิดไฟต่างๆ ให้

“ต้องการอะไรโทรไปที่ลอบบี้ได้เลยนะครับ” พนักงานบอกอย่างสุภาพ ทำท่าจะผละไป แต่อัคคีเหมือนจะนึกขึ้นได้จึงถามว่า

“แถวนี้มีที่ไหนน่าไปนั่งดื่ม?”

หนุ่มนายนั้นขมวดคิ้วเหมือนจะคิดก่อนจะตอบว่า “ใกล้ๆก็มีผับอยู่สองแห่ง ที่หนึ่งก็อยู่ด้านซ้ายติดกับรีสอร์ตนี่ แต่อีกที่โน่นเลยครับไปเกือบสุดชายหาดด้านขวาเลย แต่ตรงนั้นน่าสนใจครับ เขาเรียกกันว่า ผับแม่มดจันทรานะครับ” คนอธิบายยิ้มๆ ในตอนท้าย “ถ้าจะไปที่นั่น เดินไปตามชายหาดทางขวามือเลยก็ได้นะครับ”

“ขอบใจ”

เขาทิปให้พนักงานก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน และเมื่อเปิดเข้าไปข้างใน กลิ่นหอมสดชื่น ภายในทำให้รู้ว่า ที่นี่ดูแลห้องเป็นอย่างดี

อัคคีปลดกระดุมเสื้อขณะเดินไปที่ตู้เย็น มีเครื่องดื่มอยู่ในนั้น เขาหยิบเอาแต่ขวดน้ำออกมาดื่มแล้วเดินไปนั่งที่เตียง ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรทิ่มที่หน้าขา ทำให้นึกได้เลยลุกขึ้นล้วงเอาตุ๊กตาออกมาดูอีกครั้ง เธออาจจะเอามันแขวนเป็นตุ้งติ้งติดกระเป๋าด้านนอก เพราะเขาเห็นห่วงเล็กๆ ที่มีเส้นด้ายถักติดอยู่ ท่าทางมันทะเล้นน่ารักดี โดยเฉพาะปากที่ยื่นน้อยๆ เหมือนจะรอจูบของมันนั่นแล้ว มันทำให้เขาอดจะยิ้มไม่ได้ ความจริงเขาก็เคยเห็นตุ๊กตาอย่างนี้ แต่ก็แค่มองผ่านๆ แต่ไม่เคยพิจารณาใกล้ๆ อย่างนี้

แล้วอัคคีก็วางมันลงที่โต๊ะหัวเตียงแล้วยืนขึ้นถอดเสื้อ แต่เมื่อจะรูดซิบกางเกง สายตาก็จ้องไปที่เจ้าตุ๊กตานั่น มันคล้ายกับว่า เจ้าตัวน้อยปากยื่นนี่กำลังจ้องเขา ทั้งๆ ที่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นหลับพริ้มอยู่ เขาอดจะคิดถึงไปถึงเรือนร่างเจ้าของของมันไม่ได้

ตัวจริงๆ ของเธอจะน่ารัก หรือทะเล้นอย่างเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ไหมนะ แต่ผู้หญิงที่บดบังใบหน้าตัวเองด้วยแว่นอย่างนั้น ใส่เสื้อจั้มเอวลอยโชว์พุงน่าลูบไล้แบบนั้น เดินด้วยท่าทางอย่างนั้น มันบ่งบอกได้อย่างหนึ่งละว่า เจ้าหล่อนต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่มาเที่ยวทะเลแต่งกายแบบนี้ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

อัคคีถอดกางเกงแล้วล้มตัวลงนอนที่เตียง เขาคิดที่จะนอนพักสักสองสามชั่วโมงเอาแรง แล้วค่อยตื่นไปท่องราตรีดูว่า ที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง... แล้วเขาจะได้เจอเธอคนนั้นอีกหรือเปล่า

ให้ตายไปเลยสิ ก็ใช่ว่า เขาจะขาดผู้หญิงหรอกนะ แต่ทำไมถึงได้ติดใจเจ้าหล่อนคนนี้เหลือเกิน มันอาจจะเพราะเจ้าตุ๊กตาน่ารัก หน้าทะเล้นก็ได้

แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเอาเจ้าตัวตุ๊กตานั่นมามองนอนมองเล่น มองแล้วก็ยิ้ม...ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างนี้ เขาใช้นิ้วเขี่ยปากยื่นออกมาของมันเล่นสองสามครั้ง ก่อนจะวาดนิ้วไปตามใบหน้าเล็กๆ ที่แทบจะมิดเพียงนิ้วเดียวของเขา ก่อนจะไปเลิกดูเส้นผมเล่น แล้วบางอย่างที่แลบออกมาจากส่วนที่เส้นผมปิดบังอยู่ ก็ทำให้เขาขยับตัวขึ้นนั่งเอนๆ ด้วยความสนใจ และใช้เล็บจิกดึงมันออกมา

กระดาษบางที่ม้วนแน่นเป็นแท่งสูงประมาณหนึ่งนิ้วถูกฝังสอดอยู่ที่ศีรษะของตุ๊กตา เขาค่อยๆ คลี่ออกมา ก็ต้องหัวเราะก้องออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเจอข้อความที่เขียนเอาไว้ว่า

จูบฉันสิ รออะไรอยู่ นายทึ่ม! 

ฉันจูบแน่ แต่จะเป็นเจ้าของแกโน่น ขอให้ได้เจออีกเถอะ! …อัคคีตอบในใจอย่างนึกสนุก ก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยริมฝีปากที่ยื่นออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ของมันเล่นอีกสองสามครั้ง แล้ววางมันลงที่อก เขาถอนหายใจลึกๆ หลับตาลงด้วยใบหน้าที่ระบายรอยยิ้ม นึกขำตัวเอง ที่ตั้งใจจะมาพักอยู่นี่อย่างสงบๆ สักเดือน แต่ก็ดูเหมือนจะถูกปลุกเร้าจากเจ้าตุ๊กตาตัวนี้และเจ้าของมันเสียแล้ว

*******************



รายละเอียดสั่งซื้อที่นี่


http://phiilipda.com/forum/viewtopic.php?f=7&t=4

**** ไฟรักเพลิงแสงจันทร์ ****




แสงจันทร์ ทุ่มเทให้กับผับ "มนต์จันทรา"
ด้วยหวังว่า เมื่อพ่อเลี้ยงที่ป่วยมานานของเธอเสียชีวิต
มันจะตกมาเป็นของเธอ...
แต่แล้วก็ต้องสะอึกอึ้งเมื่อเขาได้ยกร้านนี้
ให้กับอัคคี หลานชาย ของเขา
ผู้ที่ไม่เคยย่างกรายมาที่นี่แม้สักครั้ง
ซ้ำร้ายข่าวที่ได้รู้ก็คือ อัคคี กำลังติดหนี้การพนัน 
เขาต้องการขายผับของเธอ
โอ... แสงจันทร์อยากจะฆ่าเขานัก
ถ้าเขาจะไม่...

เพื่อเอาตัวรอดจากผู้หญิงคนหนึ่ง
ทำให้ อัคคี ต้องสร้างข่าวฉาวให้กับตัวเอง
และถือโอกาสที่ได้รับมรดกเล็กๆ น้อยๆ จากลุง
ทำให้เขาคิดจะหลบไปซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ที่นั่น
แต่หัวใจเขาต้องล้มคว่ำคะมำหงาย
เมื่อเจอเข้ากับแสงจันทร์
ผู้หญิงที่ยอมทำทุกอย่าง เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ให้ตายเลยสิ... ทำไมเขาอยากปราบผู้หญิงคนนี้
ด้วยวิธีการอย่างนี้...อย่างเดียวนักก็ไม่รู้





โดย ม่านราตรี  (สปันงา)