วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555


ไฟรักเพลิงแสงจันทร์



บทที่ ๒ 



แสงจันทร์ลงจากรถท่ามกลางฝนตกหนัก เพื่อมาเปิดประตูไม้บานใหญ่ ก่อนจะกลับเข้าไปในรถ ขับเข้าไปในจอดภายในโรงรถอันเป็นไม้ระแนงมีต้นเถากระเทียมห้อยระย้าอยู่ ทางเข้าบ้านนี้มันเหมือนเป็นด้านหลัง ทั้งๆ ที่อยู่ติดถนน แต่เพราะว่าบ้านหันหน้าไปทางชายหาด และเธอก็เปิดให้ลูกค้าเข้าทางด้านนั้น มันจึงเป็นเหมือนด้านหลังไปโดยปริยาย

เธอลงจากรถ ก็พอดีมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูกระจกออกมา 

“เหล้าอยู่หลังรถ ขนลงมาเลย”

เธอสั่งแล้วก็เดินสวนเข้าไปทางประตูเดียวกัน ร้านยังไม่เปิด แต่ดูเหมือนโต๊ะเก้าอี้จะถูกจัดให้เข้าที่หมดแล้ว เกร็กชายอิตาเลียนวัยหกสิบที่ผมเป็นสีขาวทั้งหัวแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ เกร็กจะเดินขากระเผลกนิดๆ เพราะว่าเคยได้รับการผ่าตัดกระดูกมาก่อน ส่วนมอริสชายอายุไล่เรี่ยกันกำลังตั้งเสียงเปียนโน ที่ผับมีทั้งเปียนโน และการใช้เครื่องเสียงเปิด ทั้งคู่อยุ่ที่นี่มาตั้งแต่เธอจำความได้ ทั้งคู่เคยมีภรรยาเป็นคนไทย แต่เสียชีวิตไปแล้วด้วยอุบัติเหตุเรือล่ม พร้อมๆ กับการเสียชิวิตของพ่อเธอในตอนนั้น ความรู้หลายๆ อย่างของเธอ ที่ไม่เคยได้เรียนจากมหาวิทยาลัยไหน ก็ได้มาจากชายสองคนนี้ มอริสเต้นรำเก่งมาก ขณะที่เกร็กก็เป็นบาร์เทนเดอร์ที่คุยสนุก พูดได้หลายภาษา และมีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำเป็นอย่างดี พวกเขาจึงเป็นคนในครอบครัวเสียมากกว่าลูกจ้าง

“เอาสักเพลงไหม แสงจันทร์” มอริสตะโกนถาม พร้อมๆ กับที่เสียงเพลงกระหึ่มขึ้น แข่งกับเสียงฝน แล้วร่างของมอริสก็พลิ้วออกมาราวกับไม่ใช่ชายวัยจะหกสิบ

แสงจันทร์หัวเราะ พลางส่ายหน้า ยกสองมือที่ถือถุงกระดาษให้ดู 

“กำนันเปลวมีของฝากพวกคุณด้วย เดี๋ยวจะเอาลงมาให้นะคะ”

เธอยิ้มให้อย่างชื่นมื่น ก่อนจะแยกตัวขึ้นบันได ที่ชั้นบนไม่มีใครอยู่ น้ากรองทองคงจะอยู่ในห้องของตัวเอง ส่วนป้าชงโคก็คงจะเตรียมอาหารเย็น 

หญิงสาวเข้าไปในห้อง ตอนแรกเธอคิดว่าจะนอนพัก แต่แล้วเมื่อมองออกไปข้างนอก ฝนหยุดตกแล้ว เลยเปลี่ยนใจถอดชุดที่ชื้นออก สวมบิกินี่สีแดงตัวโปรดแล้วคว้าเสื้อมาสวมทับตัวหนึ่ง เปิดประตูออกไป เธอไม่ได้ลงไปทางบันไดเดิม แต่ลงไปทางบันไดห้องมุขแปดเหลี่ยม ที่ลงไปยังชั้นลอยก่อนที่จะมีบันไดลงไปยังหาดด้านล่าง ตรงนี้ จะไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็นเพราะจะมีต้นแสงจันทร์ใหญ่ใบหน้าปิดตรงส่วนบันไดนี้ มองเข้ามาก็จะเห็นเป็นสวนที่ไม่มีทางเข้า

แสงจันทร์ เดินอย่างไม่เร่งรีบนักลงทะเล แม้จะเหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้เวลาเปิดร้าน แต่เธอเป็นคนแต่งตัวเร็ว และตอนนี้ฝนก็เพิ่งจะหยุด โอกาสที่คนจะออกมาหาความสำราญอย่างนี้คงน้อยลงไปอีก ดูจากทั่วทั้งหาดก็เหมือนจะมีเธอคนเดียว เธอนอนหงายพยุงตัวให้เคลื่อนไปตามกระแสคลื่นไม่แรงนักที่ทยอยซัดเข้าฝั่งเท่านั้น มันเป็นความเคยชินของเธอ ที่จะต้องมาว่ายน้ำเล่นตอนพลบค่ำ แดดไม่แรง ฟ้าเป็นสีทอง มันทำให้เธอเหมือนตกอยู่ในดินแดนในฝัน ที่ไม่มีอะไรทำให้เธอต้องคิดหนัก คิดมาก และคิดจนไม่มีทางออกที่เธอพอใจ

เช้านี้น้ากรองทอง ดูไพ่ให้เธอ มันออกมาในลักษณะที่ว่า เธอจะเจอเนื้อคู่ แต่มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจ ตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการเนื้อคู่ เธอต้องการเงิน เงินมากๆ พอที่จะใช้หนี้ พอที่จะเสนอซื้อบ้านของเธอให้มันกลับมาเป็นของเธอ 

“เขาเป็นคนมีฐานะ” น้ากรองทองยังย้ำบอก พร้อมกับชี้ไปที่ไพ่อีกใบหนึ่ง แต่เธอไม่สนใจจะดูนัก และถ้าหากไม่คิดว่าน้ากรองเป็นแม่หมอที่ดูแม่นและรู้จริงในเรื่องนี้แล้วละก็ เธอก็อาจจะคิดว่าท่านกำลังพูดเป็นนัยบางอย่างกับเธอ เพราะที่เธอเจอวันนี้ ก็เป็นหนุ่มรูปหล่อ รวยจริงๆ...ไม่ใช่ใครที่ไหน กำนันเปลวนั่นแหละ

เธอเจอกำนันเปลว ในตอนไปเอาเหล้า กำนันเปลวแสดงความเสียใจกับเธอเรื่องการตายของนายอินสร เพราะเขาก็เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ และไม่ได้มางานศพ แน่นอนไม่เพียงแต่เหล้าเท่านั้นที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ ยังมีของฝากอีกหลายอย่าง ไม่ใช่สำหรับเธอคนเดียว แต่เรียกได้ว่า ทั้งบ้าน

เธอยังเคยคิดว่า กำนันเปลวน่าจะชอบน้ากรองทองของเธอ เพราะดูแล้วเขาอายุมากกว่าน้ากรองเธอไม่กี่ปี เขาอายุน้อยกว่าแม่เธอไม่กี่ปี และเคยหลงรักแม่เธอมาก่อน ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคุยให้เธอฟังหรอก เป็นตัวกำนันเองนั่นแหละคุยให้ฟังอย่างอารมณ์ดี เมื่อตบท้ายด้วยว่า

แสงจันทร์มีปัญหาอะไร มาหาผมได้ทุกเมื่อ อย่าเกรงใจ และอย่าไปฟังเสียงใครจะพูดอย่างไร เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงิน อย่าทำตัวเป็นผู้หญิงสิ้นหวัง เพราะยังมีผมอยู่

เธอยังเคยคิดขำๆ มันๆ ให้สะใจตัวเองเลยว่า ก็ขอแต่งงานมาสิ จะกระโดดใส่เลย 

แต่การแต่งงานมันคงไม่เกิดขึ้น ในความคิดของกำนันเปลวแล้ว ก็คงคิดเป็นเรื่องธรรมดา ที่เขาจะมีผู้หญิง และด้วยหน้าตาฐานะอย่างเขา มันก็ไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงมาตามติดเขาเช่นกัน แต่เธอไม่เคยคิดเป็นเรื่องธรรมดา ลึกลงไปแล้วเธอรังเกียจวิธีคิดแบบนี้ของผู้ชาย แม้ว่าเจ้าตัวจะคิดว่าตัวเองไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตนก็เถอะ

แต่เขาก็เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่พึ่งพาได้คนเดียวสำหรับเธอ ไม่มีคนไหนในเกาะอยากจะยุ่งกับเธอ ไม่ใช่เพราะกลัวกำนันเปลว แต่เพราะคิดว่าเธอเองคงเป็นผู้หญิงของเขาไปแล้ว และเขาทำให้ทุกคนรู้โดยไม่จำเป็นจะต้องประกาศออกมา ก็คือทุกครั้งที่เขาข้ามฝั่งก็จะไปขลุกอยู่ที่ผับของเธอ มันเป็นการตีตราอย่างที่ใครๆ ก็มองออก และเธอเองก็อาจจะส่งเสริมให้คนอื่นคิดไปอย่างนั้นก็ได้ เพราะการเป็นคู่เต้นของเขา กำนันเปลวเต้นรำเก่งมาก ในทุกอย่างที่เขามีแล้ว เธอประทับใจในเรื่องนี้ของเขาที่สุด 

แต่มันก็แค่ประทับใจ มองเขาเหมือนพี่ชายหรือน้าอาผู้ชายไปโน่น และเธอก็เคยบอกกับเขาตรงๆ อย่างนี้ คนอื่นจะมองเธอกับเขาอย่างไรก็ตาม แต่เขาต้องรู้ว่า ความคิดของเธอที่มีต่อเขาเป็นอย่างไร แต่พอเธอพูดอย่างนี้ เขาก็จะหัวเราะย้อนกลับมาว่า

อย่ามาคิดเป็นญาติกับผมนะ ผมไม่ชอบเป็นญาติกับผู้หญิงสวยๆ 

สำหรับกำนันเปลวนั้น เธอขีดชื่อทิ้งไปได้เลย ต่อให้คิดว่าเขาชอบเธอ มันก็คงแค่ชอบ แต่ให้ถึงขนาดเลิกกับผู้หญิงทุกคน เพื่อเธอคนเดียว เธอรับประกันได้เลยว่า เขาไม่ทำแน่ กำนันเปลวไม่ได้รักผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น… ผู้ชายในชีวิต ที่พอจะทำให้เธอหลุดพ้นจากปัญหาการเงิน ก็มีเพียงกำนันเปลว แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับใคร หรือว่าชีวิตของเธอจะต้องเป็นอย่างที่เธอพูดเล่นๆ กับน้ากรองทองตอนเช้า...ขายตัวแลกเงิน

หญิงสาวยืนขึ้นถอนใจยาว ก้าวเข้าหาฝั่งช้าๆ สายตามองตรงไปยังบ้านที่อยู่ตรงหน้า จริงหรือว่ามันสำคัญสำหรับชีวิตของเธอ เธอจะต้องเอามันมาให้ได้เชียวหรือ หากไม่มีมัน ชีวิตเธอจะอยู่ไม่ได้อย่างนั้นหรือ เธอจะจะยอมเอาตัวเข้าแลก เพียงเพราะบ้านหลังนี้ละหรือ? 

แสงจันทร์ส่ายหน้าให้กับคำถามตัวเอง ชีวิตอีกสี่ชีวิตที่ต้องพึ่งพาเธอต่างหาก ทำให้ต้องคิดหนัก พนากำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย น้ากรองทองไม่มีที่ไปที่ไหน ป้าชงโคก็อยู่ที่มาตั้งแต่เธอจำความได้ มอริสกับเกร็ก สองคนนี้อยู่ติดที่นี่ และไม่เคยจะไปไหน หากจะต้องไปทำงานที่อื่นก็คงพอจะหางานทำได้สำหรับบาร์เทนเดอร์ และนักเต้น แต่ทั้งคู่ก็อายุจะปาไปหกสิบแล้ว งานใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ยิ่งหน้าฝนอย่างนี้ ทั้งโรงแรมและรีสอร์ต ยังหาทางให้พนักงานหยุดงาน เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายค่าแรงเลย

ความจริงเธอก็คิดเอาไว้เหมือนกันว่า จะพูดกับนายอัคคีนั่นอย่างไร แต่ก็เพราะไม่รู้จักนิสัยใจคอหน้าตามาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่คิดเอาไว้จะได้ไหม ถ้าหากไม่ได้...ถ้าก็คงวกกลับไปหากำนันเปลวเหมือนเดิม ด้วยข้อเสนอเดียวกัน เป็นการประวิงเวลาเอาไว้ เพื่อว่าเธอจะหาทางขยับขยายให้ทุกคนมีที่ทางไป 

แสงจันทร์เดินขึ้นบ้าน ที่เป็นบันไดหลบมุมอยู่อีกด้านหนึ่ง มีต้นแสงจันทร์บังเอาไว้ ตรงนี้เป็นเหมือนชั้นลอย เป็นห้องนอนของน้ากรองทอง ถ้ามองจากห้องมุขก็จะเห็นห้องนี้ได้อย่างชัดเจน

ป้าชงโค กำลังจัดอาหารที่โต๊ะ เป็นมุมที่ยื่นออกมาค่อนข้างเป็นสัดส่วน แยกจากบริเวณของร้าน แต่ก็มีบรรยากาศที่ดี เพราะมุมนี้มองเห็นทะเลได้อย่างสบายตา ไม่มีอะไรเกะกะ อย่างน้อยที่นี่ก็มีเวลาพร้อมหน้ากันคือตอน หกโมงครึ่ง ทุกคนจะขึ้นมานั่งกินอาหารร่วมกัน ก่อนที่จะได้เตรียมตัวเปิดร้าน ไม่เหมือนตอนเช้า ที่ต่างคนต่างสะดวก 

ในผับ ไม่ได้ใช้ดนตรีอะไรมากมาย จะมีก็แต่เครื่องเสียงที่กระหึ่มเร้าใจ ฝนเพิ่งจะหยุดตก อาจจะมีลูกค้าน้อย แต่เธอก็ถือเปิดเอาฤกษ์เอาชัยแค่นั้น 


แสงจันทร์อาบน้ำ แล้วใส่แต่ผ้าขนหนู เดินออกมา ที่นี่ไม่ได้มีห้องน้ำเป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่มีใครใช้กับเธอ เพราะเธออยู่ชั้นนี้คนเดียวมานาน จึงไม่ค่อยจะระวังอะไร

เธอเลือกชุดสีแดง สีนำโชคสำหรับเธอ น้ำหอมกลิ่นที่เธอไปผสมเองที่ร้านของเพื่อนยังมีอยู่ แต่เมื่อเปิดกระเป๋าเธอจึงมองเห็นว่า เชือกถักที่เธอคล้องเจ้าตุ๊กตาท้าจูบนั้นมันขาด ต้องเป็นตอนที่เธอล้มบนเรือนั้นแน่ๆ 

แวบหนึ่งที่เธอคิดไปถึงผู้ชายที่เห็นบนเรือ ท่าทางเนือยๆ เขาเดินลงมาทีหลังเธอ อาจจะเห็นแล้วเก็บมันไว้ แต่ ก็ไม่แน่ เขาอาจจะไม่สนใจ มันอาจจะตกซุกอยู่ที่ใดที่หนึ่ง บางทีพรุ่งนี้เธออาจจะไปถามพนักงานดู มันก็ไม่ใช่สิ่งของที่มีราคาค่างวดอะไร แต่นั่นเป็นตุ๊กตาท้าจูบของเธอ เธอมีมันมานาน มันเป็นความเคยชินของสิ่งที่มีติดตัวแล้วหายไป เธอคุ้นเคยและชอบเอานั่งดูเล่น มันทำให้เธอผ่อนคลายเวลามีเรื่องกลัดกลุ้ม

เธออยากเป็นเจ้าหญิงนิทรา ที่ถูกปลุกโดยผู้ชายสักคน แล้วเขาคนนั้นก็จะเป็นคู่ชีวิตของเธอตลอดไป เทพนิยายที่เธอใฝ่ฝันมันมีในตัวเธอ แต่เธอไม่อาจจะแสดงอะไรออกมา

แต่ใครละ ที่จะมาเป็นเจ้าชายของเธอ...เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับใคร ถึงกับจะใจเต้นตึกๆ เลยสักครั้ง ทำงานที่ผับ คอยเชียร์แขกเชียร์ลูกค้า สอนเต้นรำ ผ่านไปแล้วก็ผ่านเลย เธอมีกฏของเธอเอง 

รู้จักก็แค่ในผับเท่านั้น หากอยู่นอกสถานที่แล้ว เธอไม่คิดจะทักทายใคร ไม่คิดจะเป็นตัวสนิทสนมกับผู้ชายคนไหน เล่นมาหลายคนหน้าม้านไปเหมือนกัน ที่เธอเพียงแต่ยิ้ม แล้วก็ขอตัวแยกออกมา มันคืองาน และเธอก็ทำงานแค่ในผับ พ้นจากนี้ไปแล้ว มันขึ้นกับอารมณ์ของเธอ 



อัคคีเดินไปตามหาดทรายช้าๆ หลังฝนตกอากาศดี และดูเหมือนท้องฟ้าจะสว่างเพราะดวงจันทร์บนฟ้าไกล มันเพิ่งจะสามทุ่ม แต่ก็ดูสว่างไสว ร้านต่างๆ เปิดให้บริการแม้จะแทบไม่เห็นคน ต่อให้ไม่มีคนแค่ไหน กิจการก็ต้องดำเนินต่อไป แล้วอัคคีก็มองเห็นแสงไฟที่เป็นหย่อมๆ จากบ้านสองชั้นหลังคาทรงปั้นหยา มีมุกอยู่ด้านหน้าชั้นบน ด้านล่างเปิดโล่งเห็นแสงไฟเป็นจุดๆ ด้านหน้าก็เป็นลานยกพื้นสูงจากขายหาด โดยมีบันไดสองขั้นให้เดินขึ้นไป เป็นลานที่บางส่วนปลุกหญ้า แต่ก็มีลานเป็นหลุมกองฟืนที่ค้างอยู่ทำให้รู้ว่านี่คือกองไฟ รอบๆ ปลูกต้นแสงจันทร์เอาไว้ เหมือนเป็นขอบเขตของรั้วบ้าน แว่วเสียงเพลงลาตินจังหวะคึกคักดังออกมา ทั้งๆ ที่ด้านในนั้นมีลูกค้าไม่ถึงสิบ เมื่อย่างเข้าไปก็คือ บาร์เทนเดอร์ที่ยืนหันหลังอยู่ที่เคาน์เตอร์ เหมือนกำลังมองชายที่กำลังนั่งอยู่หน้าเปียนโนที่ไม่ได้เล่น ส่วนสะดุดตาของเขาอีกที่หนึ่ง และทำให้มั่นใจว่าเขามาไม่ผิดก็คือ มุมด้านซ้ายมือที่มีรูปภาพของเหรียญรูปดาวห้าแฉกอยู่ สตรีนางหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงสี่เหลี่ยม ตรงหน้าคือไพ่สำรับหนึ่ง และแก้วเหล้าแก้วหนึ่ง

“ถ้าคุณมาคนเดียว และยังไม่มีแฟน ถ้าคุณจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์ คืนนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ และเป็นฝ่ายเลี้ยงเหล้าคุณจนผับปิด” 

เสียงพูดสดใสดังแทรกขึ้นมาทำให้อัคคีหันกลับไป คิ้วเขาเลิกขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นร่างที่เขาคุ้นตาเพราะคิดถึงอยู่ตลอดเวลา เดรสสีแดงเข้ารูป ที่เธอสวมก็ดูธรรมดา เหมือนที่เคยเห็นทั่วไป เธอไม่ได้ใส่เครื่องประดับอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อมองเธอเยื้องกายเข้ามาหา อัคคีเหมือนใจหายใจติดขัดขึ้นมาทีเดียว เป็นเรือนร่างที่เปล่งออกมาต่างหากที่ดูเซ็กซี่และกระตุ้นอารมณ์ได้อย่างที่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะรู้สึกได้ถึงเพียงนี้ เขาหันไปมองรอบๆ มันราวกับว่าไม่มีใครสนใจ ความรู้สึกนี้มันเกิดกับเขาเพียงคนเดียว

และดูเหมือนว่าตัวเธอเองจะอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้ ไม่ได้แสดงว่าจดจำเขาได้หรอกเมื่อพูดต่อว่า

“ลองเสี่ยงทายดูสิคะ แม่หมอไม่ได้ต้องการอะไรกับคุณนอกจากเหล้าสักแก้วเท่านั้น”

อัคคียิ้ม “ผมเป็นคนมือขึ้นเรื่องนี้นะ”

“งั้นคืนนี้ฉันคงโชคดีแล้วสิคะ”

ท่าทีเธอมั่นใจ สดใสและขี้เล่น ไม่ได้มีแววหยิ่งๆ อย่างที่เขาคิด มันทำให้เขาคิดไปถึงเจ้าตุ๊กตาท้าจูบ ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเขาเลยทีเดียว

“เชิญค่ะ” 

อัคคีหันกลับไป ก็เห็นแม่หมอกรีดไพ่เป็นรูปครึ่งวงกลมอย่างสวยงาม

“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่า มีไพ่ใบนั้นในสำรับนี้”

แววตาสดใสของเธอเหมือนจะแข็งขึ้น ก่อนที่ริมฝีปากจะหยักยิ้ม ชี้ไปที่ป้ายเล็กๆ ด้านล่างของภาพเหรียญดาว เขาเห็นมีกระดาษแผ่นหนึ่งติดเอาไว้ มีภาษาโรมันเป็นเลขเก้า

“คุณเป็นคนพิเศษของคืนนี้ค่ะ เพราะคุณเข้ามาในนี้เป็นคนแรกที่มาคนเดียวหลังสามทุ่ม มันเป็นกฏของร้านเราเท่านั้น และถ้าคุณเลือกไม่ได้ แม่หมอจะเอาไพ่ใบนั้นในสำรับให้คุณดูก็ได้”

ไม่เลว ร้านนี้มีลูกเล่นดึงลูกค้าอย่างนี้ด้วย และที่เก่งก็คือ เธอไม่โกรธใส่ลูกค้า

“คุณชอบเลขอะไร ช่วยกันหน่อย ผมอยากให้คุณเลี้ยงเหล้าผมทั้งคืน?”

“สิบสาม”

เขายิ้มเมื่อได้ยินคำตอบเป็นลักกี้นัมเบอร์เสียอย่างนั้น 

“คุณไม่ได้ใจดีเหมือนรอยยิ้มแม้แต่น้อยเลยนะ แม้ผมก็เป็นคนที่เชื่อผู้หญิงสวยๆง่ายๆ ตั้งแต่แรกพบ แต่ขอลบออกไปสองเหลือสิบเอ็ดแล้วกัน เผื่อเราจะได้เป็นคู่กันหนึ่งต่อหนึ่ง”

แสงจันทร์เม้มปากน้อยๆ เมื่อได้ยินเขาพูด ใครจะไปคิดว่าผู้ชายคนนี้ต่อปากต่อคำเก่งอย่างนี้ และท่าทางเขาก็ดูสบายๆ เมื่อค่อยๆ นับไพ่จากด้านซ้ายมือไปจนถึงอันดับที่สิบเอ็ด

“เอาใบนี้ล่ะ”

หากเป็นวันอื่นๆ แสงจันทร์ก็คงไปช่วยลุ้นดูไพ่กับลูกค้าเป็นทีสนุกสนานจะออกมาใบไหนก็ได้ทั้งนั้น เพื่อสร้างบรรยากาศในร้าน แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ที่คืนนี้ใจคอเธอออกจะตื่นเต้นนิดๆ มันเหมือนไม่อยากให้เขาได้เพราะอยากจะสมน้ำหน้าท่าทีอวดดีนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะให้เป็นไพ่เดอะเลิฟเวอร์เสียงจริงๆ มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้เธออยากจะค้นหาท้าทายเล่น

“บอกแล้วไงว่าผมมือขึ้นเรื่องนี้”

เสียงของเขา ทำให้แสงจันทร์ต้องมองไปไพ่เดอะเลิฟเวอร์ที่แม่หมอหงายขึ้น ฟลุกขนาดนี้เหรอนี่ เธอมองมันแล้วก็หันไปสบตาน้ากรองทอง ซึ่งอีกฝ่ายเหมือนจะยักไหล่น้อยๆ 

“งั้นก็คงเป็นโชคดีของฉันแล้วคืนนี้ เชิญทางนี้เลยค่ะ”

แสงจันทร์เดินนำเขาไปที่เคาน์เตอร์บาร์ “ฉันเลี้ยงเหล้าคุณก็จริง แต่คุณต้องเลี้ยงเหล้าแม่หมอก่อน” 

แล้วเธอก็หันไปทางบาร์เทนเดอร์สั่งเหล้าในชื่อแปลกๆ ก่อนจะหันมาถามเขาว่า 

“จะรับอะไรดีคะ”

“ผมขอเบียร์ก่อนแล้วกัน มีไหม?”

“ว้า ฉันไม่ชอบเบียร์เลยค่ะ เราก็ดันมีกฏเสียด้วยสิว่า ลูกค้าดื่มอะไร ก็ต้องดื่มเป็นคู่กัน”

“ถ้าอย่างนั้นคุณนำผมตามดีกว่า จะดื่มอะไรผมตามคุณแล้วกัน”

เธอเลิกคิ้วมองเขายิ้มๆ “งั้นดื่มชานมเป็นไง”

อัคคียิ้มกว้าง พูดลากเสียงว่า “ผมก็ดื่มชานม...กับคุณ”

“นี่ครับ แก้วของแม่หมอ” บาร์เทนเดอร์ยื่นวางแก้วเหล้าตรงหน้าเขา

“หนึ่งพันค่ะ” 

อัคคีหรี่ตามองหญิงสาวข้างๆ ซึ่งเธอก็เลิกคิ้วมองเขาด้วยรอยยิ้มเฉยๆ ราวกับว่า ราคาอย่างนี้ มันธรรมดาเสียเหลือเกิน เขาหยิบกระเป๋าเงินออกมาวางใบละพันลงให้ นึกในใจว่า

เธอโกรธคำพูดกำกวมของเขาเมื่อครู่ แต่เขาก็ชักจะทะลึ่งเหมือนกัน แต่เธออยากเซ็กซี่มากทำไม...กับผู้หญิงเขาก็งั้นๆ แต่เธอนี่ทำเอาเขาเสียศูนย์ไปเลย

“เอาไปให้แม่หมอด้วยกันไหม ถ้ายังไงคุณจะขอให้แม่หมอดูดวงให้อีกก็ได้ ดูแม่นนะคะ”

เธอไม่รอคำตอบจากเขา แต่คว้าแก้วเหล้าแล้วเดินนำลิ่วไปก่อน อัคคียังนั่งอยู่ที่เดิมเมื่อมองเธอเดินไปที่นั่น เขาหันไปสั่งเตกีล่าสำหรับตัวเอง แล้วหันไปมองร่างปราดเปรียวเดินทักทายคนที่โต๊ะต่างๆ เขามองรองเท้าส้นสูงของเธออย่างเพลิดเพลิน ให้ตายไปเลย ไม่ว่าจะมองตรงไหน เขาเหมือนจะถูกใจไปหมด ส้นสูงขนาดนั้นเธอเดินอย่างไรกันถึงไม่พลิก ทีตอนกลางวันแค่รองเท้าสานธรรมดาเธอก็ยังพลิกเลย

จูบฉันสิ อัคคีคิดไปถึงตุ๊กตาที่เขานำมันมาด้วย เขาไม่คิดว่าจะเจอเจ้าของหรอก แต่ก็คิดว่าติดตัวมาด้วยเผื่อจะเจอ แถมไม่แน่อาจจะติดตัวตลอดจนกว่าจะเจอก็ยังได้ แต่เขาก็ได้เจอเธอ และเจอเร็วกว่าที่คิดเสียอีก อะไรดูมันจะเหมือนถูกจัดวางได้ถึงขนาดนี้ 

อัคคียิ้ม เมื่อมองริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงแช้ดของเธอ ยิ้มเก๋ ฟันสวย ผู้หญิงคนนี้ดูดีไปหมด นี่เขาไม่ได้นอนกับผู้หญิงมานานหรืออย่างไร ถึงได้ชื่นชมเธอนัก

เขาสบสายตาเธอ ขณะที่เธอกำลังเดินกลับมา แปลกที่เขามีความรู้สึกว่า ความกันเอง ความสดใส ที่เธอมีให้กับลูกค้าคนอื่นที่เธอทักทายเมื่อครู่ มันไม่ได้แผ่มาถึงเขา เธอดูเหมือนจะอึดอัด และไม่ค่อยจะกันเองกับเขานัก โทษเธอไม่ได้ มันอาจจะเกิดจากตัวเขาเอง ที่เอาแต่จ้องเธอขณะที่เธอเดินกลับมานั่งข้างๆ เขาอีกครั้ง

“รู้อะไรไหม?” เธอพูดมองเขาด้วยสายตาที่เขาคิดว่าเธอกำลังยิ้ม “แค่คุณเข้ามาในร้านนี่ คุณมองฉันเท่ากับผู้ชายทั้งโลกที่เคยมองฉันรวมกันแล้ว”

อัคคีถอนหายใจ “คิดแล้วว่าคุณต้องรู้สึกได้อย่างนั้น”

เธอไหวไหล่น้อยๆ ก่อนจะแก้วที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้ มันเป็นเตกีล่าไม่ต่างจากที่เขาสั่งเมื่อครู่ให้กับเธอ โดยที่ไม่ต้องสั่ง ซึ่งพอจะทำให้เขาคิดว่า เธออาจจะพูดจริง… เขาดื่มอย่างไร เธอก็ต้องดื่มอย่างนั้น

ชายหนุ่มมองเธอเหยาะเกลือที่มือระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้แล้วใช้ลิ้นเลียเกลือก่อนจะกระดกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแล้วหยิบมะนาวขึ้นไปกัดด้วยทีท่าชำนาญ น่าดูและเซ็กซี่มาก ในสายตาเขา เธอคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดที่ร้านเลยก็ว่าได้

“ก็แสดงว่าคุณเก่งในเรื่องทำให้ผู้หญิงรู้สึกอึดอัดด้วยสิ” เธอพูดต่อ วางแก้วเตกีล่าว่างเปล่าไว้ตรงหน้า

“ขอโทษ ที่ชื่นชมคุณออกนอกหน้าไปหน่อย มันอดไม่ได้น่ะ” เขาตอบแล้วหันไปทางบาร์เทนเดอร์สั่งเหล้าอีกแก้ว ถามเธอตรงๆ ว่า

“คุณชื่ออะไร?” 

“วันนี้ฉันยังไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองเลย และโดยกติกาของคืนนี้ ฉันจะไม่ถามชื่อคุณค่ะ” เธอตอบแล้วก็ยิ้มเพยิดหน้าไปทางฟลอร์ที่มีชายหญิงคู่หนึ่งเต้นกันในจังหวะซัลซ่าอย่างสนุกสนาน

“เต้นรำเป็นไหม?” 

“เอวอ่อนอ้อนแอ้นอย่างนั้นผมเต้นไม่เป็น”

“ฉันสอนให้ ไม่ยากหรอก”

“ผมว่า...” 

“จะนั่งอยู่ทั้งคืนแบบนี้ได้ยังไง อย่างน้อยออกไปยืนดูฉันเต้นก็ยังดี มาเที่ยวทั้งที่ทำตัวให้สนุกเข้าไว้ มาค่ะ” เธอลุกขึ้น แล้วดึงเขาตามไปด้วย

อัคคียิ้มแม้จะต้องไปยืนเก้ๆ กังๆ ขณะที่เธอส่ายร่างอย่างเซ็กซี่อยู่ต่อหน้า สายตาของเขาไม่ได้พลาดไปจากเรือนนร่างที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะพลิ้วไปตามดนตรีอย่างเร่าร้อน ผุ้หญิงที่มั่นใจตัวเองจะเต้นได้อย่างสวยงาม มันดึงเอาความมั่นใจ ความเซ็กซี่ในตัวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และธรรมชาติของผุ้หญิงตรงหน้า ก็ทำให้เขาทึ่งและสนุกไปกับเธอ จนกระทั่งเพลงจบ

“คุณนี่ แน่มากเลย ไปยืนทื่อแบบนั้นในจังหวะนี้ได้ยังไง” เธอพูดเมื่อกลับมานั่งที่เดิม “รู้ไหม ฉันเสียหน้าชะมัดที่คุณไม่ได้มีอารมณ์ไปด้วยเลย”

“ก็ผมบอกคุณแล้วว่า ผมเต้นไม่เป็น”

“ฉันไม่อยากเชื่อ” เธอยังบ่น “คุณไม่แม้แต่จะขยับขา ทำได้ยังไง อารมณ์ตายด้านแบบนี้” 

“คนสวย ผมแค่เต้นไม่เป็นและไม่อยากเต้น ไม่ได้ตายด้านรับรองได้” อัคคียืนยัน มองใบหน้าที่มีเหงื่อซึมเล็กน้อยของเธอ “แล้วตกลงคุณจะเอาใจผม หรือจะให้ผมเอาใจคุณกันละคืนนี้”

แสงจันทร์อึ้งไป คำพูดของเขามันทำให้เธอตระหนักว่า เธอกำลังใช้อารมณ์ส่วนตัวต่อว่าเขา และมันไม่เคยเกิดขึ้น เธอเคยเอนเตอร์เทนแขกมากกว่าที่จะมาค่อนแคะอย่างนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอนะคืนนี้ อาจจะเป็นเพราะท่าทางของเขาคนนี้มั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม เขาดื่มไม่มาก ไม่ใช่เพราะไม่สนุกท่าทางเขาก็ดูเขาสบายๆ มองสำรวจทุกอย่าง แต่เห็นจะเป็นเพียงใบหน้าของเธอละมัง 

“ฉันไม่ให้คุณแย่งหน้าที่เอาใจฉันหรอก เดี๋ยวก็โดนไล่ออกเท่านั้น คุณไปนั่งที่โน่นไหม เดี๋ยวฉันจะยกเตกีล่าไปเสริฟให้?” เธอเพยิดหน้าไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า ที่ถัดไปจากโต๊ะแม่หมอไปสองสามโต๊ะ รับลมได้เย็นสบาย
“ไปด้วยกันดีกว่า” เขาบอก 

แสงจันทร์ถอนใจเบาๆ แล้วก็พยักหน้าให้เกร็ก ที่เหมือนจะมองเธออย่างขำๆ ก่อนจะจัดการอย่างที่สั่ง แล้วสักครู่ทั้งคู่ต่างก็ถือแก้วเหล้าของตัวเองเดินมานั่งที่โต๊ะด้านหน้า ลมพัดไม่แรงนัก แต่ฟังเสียงคลื่นได้เป็นจังหวะ ทั้งคู่นั่งตรงข้าม ดื่มเตกีล่าในท่าทางไม่ต่างกัน รามกับว่าต่างคนต่างจะเลียนแบบอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ แล้วอัคคีก็เป็นฝ่ายถามขึ้นว่า

“คุณกลัวอะไรที่สุดในชีวิต”

“ฉันกลัวการหลงทางมากที่สุด”

“งั้นคุณก็ไม่ได้กลัวผม”

หญิงสาวเอียงคอมองเขา “คิดว่าตัวเองน่ากลัวตรงไหนหรือคะ?”

“ตรงที่ ทำให้ผู้หญิงตกหลุมรักผมได้ง่ายนี่ละมัง”

แสงจันทร์หัวเราะแม้จะคิดว่า มันเป็นไปได้สูงจริงๆ ที่เขาจะคุยโวอย่างนี้

“ฉันมีวิธีจัดการกับผู้ชายแบบนี้”

“คุณจะทำอย่างไร” เขาเลิกคิ้วถาม มองเธออย่างท้าทาย

“ฉันจะเกาะติดคุณไปในทุกๆ ที่ ให้คุณเบื่อฉัน จนคุณต้องแสดงอะไรร้ายๆ ออกมา แล้วฉันก็เกลียดคุณไปเองนะสิ” เธอพูดยิ้มๆ 

อัคคีนิ่งมองเธอ ผู้หญิงคนนี้ไมได้สวยอย่างเดียว แต่ฉลาดชะมัด 

“ก็แล้วจะเกิดอะไรขึ้น แม้ผมจะร้าย แต่คุณก็ยังไม่วายจะรัก ไม่ได้เกลียดอย่างที่คุณนึกว่าจะเกลียดได้”

แสงจันทร์นิ่งมองเขาชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ “ถึงตอนนั้น คุณก็คงจะหลงรักฉันหัวปักหัวปำ แล้วเราก็คงจะกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมกันแล้วล่ะ”

อัคคีขมวดคิ้ว “คำตอบนี้ โกงกันชัดๆ”

“ไม่ได้โกง เพราะอะไรรู้ไหม?” เธอยิ้มโกงๆ เมื่อพูดต่อว่า “หัวใจฉันไม่เคยดึงดูด คนที่เกลียดฉันนะสิ”

อัคคีหัวเราะ แล้วก็ส่ายหน้า แบบนึกไม่ถึงว่า เธอจะตอบแบบนี้

“ฉันจะไปเอาเหล้ามาให้คุณ” 

แสงจันทร์ตัดบทเปลี่ยนเรื่องแล้วก็ลุกขึ้น แต่ก็งง เมื่อเห็นเขาลุกตาม 

“ในเมื่อคุณไม่อยากอยู่คุยกับผม ผมเลยจะตามติดคุณเอง” อัคคีบอกเมื่อเห็นสายตาเป็นเชิงถามของเธอ

“ฉันไปเอาเหล้ามาให้คุณนะ”

“ผมจะไม่รำคาญหรอก หากคุณจะใช้วิธีตามติดอย่างนี้กับผม และก็จะสนุกมากด้วย ที่เห็นผู้หญิงที่หลงรักผมคนหนึ่งพยายามทุกทางเพื่อจะชนะใจผม” เขายิ้ม เมื่อพูดเป็นนัยต่อว่า “ช่วงนี้ผมว่าง อาจจะอยู่ที่นี่สักหลายๆ วัน”

ลูกเล่นแพรวพราว จริงๆ แสงจันทร์คิด แม้ว่าเธอต้องทำตามกติกาของไพ่เดอะเลิฟเวอร์คืนนี้ แต่ลึกๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่รักษาคำพูดหรอก เพราะธอสนุกไปกับเขาด้วย ผู้ชายคนนี้เหมือนจะมองง่าย แสดงอย่างเปิดเผยว่าคิดอย่างไรกับเธอ แต่เขารักษาระยะห่าง เขาเป็นฝ่ายทำควบคุมเกมอยู่ ไม่ใช่เธอ เขาไม่ได้ปฏิบัติตามคำพูดของเธอสักอย่าง เขาทำตัวเหมือนเหยื่อที่ติดใจชอบพอเธอ แต่แท้จริงแล้ว เขาคือผู้ล่าต่างหาก 

หญิงสาวเดินกลับไปทางฟลอร์เต้นรำ มีแขกไม่ถึงสิบอยู่บนฟลอร์ และอีกเพียงสองสามโต๊ะเท่านั้น ลูกค้าน้อยจนแทบจะไม่คุ้มกับค่าไฟ ยังดีที่ร้านเปิดโล่ง ให้อากาศถ่ายเทเข้ามาได้

“ที่นี่ปิดกี่โมง” 

“หลังเที่ยงคืน แต่วันนี้” 

เธอยักไหล่เหมือนไม่อยากพูด เพราะตอนนี้ แขกที่เหลืออยู่มีเพียงเขา และหนุ่มสาวอีกสิบกว่าคนเท่านั้น ที่ยังสนุกกับการเต้นอยู่

“เลิกงานแล้วไปดื่มต่อ กับผมไหม?”

แสงจันทร์มองหน้าเขา แต่ก็เห็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเปิดเผยเหมือนเดิม ธออยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง เธอทำงานอย่างนี้มานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าแต่ละคนมีความคิดอย่างไร ตัวเธอเองก็ยังต้องยอมรับว่า เธอต้องเอาบุคลิกและรูปร่างของตัวเองประกอบไปด้วย มันก็ไม่ได้เกินเลยอะไรไปนัก หากจะมีใครสักคนยุ่มย่ามเพราะความเมาหรือเจตนาล่วงล้ำ เธอจัดการได้หมด แต่ดูเหมือนกับผู้ชายคนนี้ เขาจะดักคอ ได้ทุกอย่างที่เขาต้องการเลย มันก็สนุกดีที่ได้คุยกับเขา

“ฉันมีหน้าที่ต้องปิดทำความสะอาดผับค่ะ ไปไหนไม่ได้”

อัคคีพยักหน้า เขาไม่ได้เซ้าซี้ในสายตาของเขา ผู้หญิงก็คือผู้หญิง และถ้าเป็นผู้หญิงที่ทำงานในนี้แล้ว ก็ต้องใจกล้ากันหน่อย ในเมื่อเขามาเที่ยวต้องการความสนุกบันเทิง เขาก็จะจ่ายในสิ่งที่เงินซื้อได้ และคืนนี้ มันก็เป็นตัวเธอเองที่เสนอตัวออกมาอย่างนี้ อัคคีจึงไม่คิดว่าเขาจะต้องระวังความคิดอะไร ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็จบ มันก็แค่ความพอใจทั้งสองฝ่ายเท่านั้น

ทั้งคู่กลับมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง แล้วเขาก็เห็นชายที่กำลังง่วนอยู่ที่เครืองเสียง ทำสัญญาณบางอย่างให้กับเธอ เธอพยักหน้า ก่อนจะพูดกับเขาว่า 

“คุณนั่งคนเดียวสักครู่ได้ไหม”

เขาแกล้งขมวดคิ้ว เหมือนไม่พอใจ แต่เธอก็พูดว่า

“ฉันไม่ได้ไปไหนไกล จะเต้นรำให้คุณดู ได้เวลาโชว์เดี่ยวปิดงานของฉันแล้ว”

เธอผละไปที่กลางฟลอร์ ที่ตอนนี้หรี่ไฟลง มันเหมือนโชว์บนเวที ที่คนเต้นบนฟลอร์เมื่อครู่จะถอยกลับไปนั่งที่โต๊ะ เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น พร้อมกับจังหวะเพลงเร่าร้อน อาการเยื้องกายด้วยลีลาราวกับนักเต้นมืออาชีพของเธอก็เกิดขึ้น อัคคีมองแล้วก็ยิ้ม เพราะไม่นึกว่าผับเล็กๆ อย่างนี้จะมีการนำเสนอแบบนี้...และให้ตาย เธอร้อนแรงจริงๆ

อัคคีหายใจติดขัดขึ้นมาเสียเฉยๆ กับความรู้สึกที่เผาตัวเอง เพียงแค่เห็นเธอเต้น เขามองไปรอบๆ สังเกตคนอื่นๆ ทุกคนต่างจ้องไปที่เธอ แต่เขาไม่รู้ว่า จะมีคนเป็นอย่างเขาบ้างไหม แต่ก็เห็นว่า ทุกคนต่างก็จ้องเธอเป็นตาเดียวเหมือนกัน แต่สายตาคู่หนึ่ง ที่สบกับเขา ก็ทำเอาเขานิ่งไปด้วยความสงสัย แม่หมอคนนั้น จับตามองเขาอยู่นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ได้ และก็ราวกับว่า หล่อนจะรู้ไปถึงความคิดของเขา

อัคคีเมินหน้ากลับส่งเหล้ามาดื่ม เขาไม่แคร์หรอกว่าแม่หมอคนนั้นจะหยั่งรู้ว่า เขากำลังคิดอะไร เพราะนี่มันเรื่องของเขา และจะพูดไป มันก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ผู้ชายจะคิดอย่างนั้น

เสียงเดินทำให้เขาหันตัวกลับ เธอกำลังเดินมาหาเขา ผมเธอยุ่งเหยิง มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ อยู่บนหน้าผากเธอ เธอหายใจแรง เมื่อมานั่งที่เก้าอี้ใกล้เขาตัวเดิม

“เหนื่อยไหม?” เขาถาม

“ฉันสนุก ฉันชอบเต้นรำ” 

เธอตอบอย่างเปิดเผยแม้จะไม่ตรงกับทำถาม แล้วยื่นมือไปรับขวดน้ำจากบาร์เทนเดอร์อย่างรู้ใจ มันทำให้เขารู้สึกว่า พนักงานที่นี่คงจะอยู่ด้วยกันมานาน และคุ้นเคยกันดี แต่ดูๆ แล้ว ก็มีคนไม่กี่คนที่ทำงานในนี้ แต่มันอาจจะเป็นช่วงหน้าฝนนี้ก็ได้ 

อัคคียกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด ก็ปุบปับลุกขึ้น

“ผมจะกลับ ออกไปส่งผมหน่อยได้ไหม?”

“ได้สิ”

แสงจันทร์ลุกขึ้น แล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขา ออกไปที่ประตู ผ่านไปยังโต๊ะแม่หมอ ที่มองอย่างสงสัย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีคนจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์ไม่กี่คน แต่ไม่มีใครที่จะลุกออกจากผับก่อนที่จะปิดเลย 

“บริเวณผับถึงไหน” อัคคีถามลอย

“ถ้าหน้าท่องเที่ยว เราก็จัดโต๊ะเต็มลานนี้เลย” เธอชี้ไปที่ลานด้านนอก

“งั้นเราไปยืนตรงนั้นกัน”

แสงจันทร์ขมวดคิ้ว “ทำไม?”

“ก็จะได้รู้ว่า คุณยังอยู่ในบริเวณผับ และยังต้องทำตามสัญญาอยู่นะสิ”

“แต่คุณบอกจะกลับ”

“คุณทำให้ผมเปลี่ยนใจได้ง่ายมากเลย ผมอยากยืนดูทะเลกับคุณตรงนั้นได้ไหม”

แสงจันทร์ไม่ตอบ แต่ก็เป็นฝ่ายเดินนำหน้าเขาอีกเช่นเคย เธอไปหยุดยืนที่ปลายสุดของลาน สูดมหายใจเอากลิ่นน้ำทะเลที่ลมพัดมา

อัคคีมองหญิงสาวที่ยืนนิ่ง สายลมพัดเส้นผมเธอกระจาย ชุดทีใส่นั้นเล่า ก็พริ้วไปตามแรงลมปลายกระโปรงสะบัดไปตามแรงลม เขามองเรียวขาเธออย่างหลงใหล เขาแพ้ขาสวยๆ ของผู้หญิง แต่กับผู้หญิงคนนี้ เขาเหมือนจะแพ้ไปเสียทุกอย่าง เมื่อยอมรับกับตัวเองว่า เขาต้องการเธอ...อาจจะไม่ใช่คืนนี้ แต่ต้องได้แน่ ก่อนที่เขาจะออกจากเกาะนี้ไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเขา 

“ผมไม่ค่อยจะเจอพระจันทร์สวยๆ อย่างนี้”

แสงจันทร์เหลือบสายตามองพระจันทร์ ใช่มันสวยอย่างที่เขาพูด เพราะกำลังทอแสงนวล มีรัศมีโดยรอบไม่กว้างหนักแต่ที่มันสวยก็คงเพราะ ท้องฟ้าสีเข้มดำขับให้มันกระจ่างนวลมากกว่า

“ฉันเจอบ่อยๆ แต่ก็มองไม่เบื่อ”

“คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน”

“ตั้งแต่เกิด”

“อยากไปอยู่ที่อื่นบ้างไหม”

“ไม่”

“ทำไม?”

แสงจันทร์ยิ้ม ก่อนจะตอบเล่นๆ ว่า “ฉันกลัวคำสาป พอออกจากเกาะนี้ไป ฉันจะกลายเป็นยายแก่หนังเหี่ยว”

อัคคีส่ายหน้า หัวเราะเบาๆ “ไม่จริง เพราะตอนผมเห็นคุณอยู่บนเรือ คุณก็สวยและดูมั่นใจตัวเอง เพียงแต่ไม่เซ็กซี่เท่าตอนนี้”

แสงจันทร์เลิกคิ้วนิดๆ “แสดงว่า คุณเคยเห็นฉันมาก่อนเหรอ?”

เขาพยักหน้า แล้วก็ยิ้มอย่างมาดหมาย เมื่อพูดว่า

“และ ผมมีอะไรมาให้คุณด้วย?”

“อะไร?”

อัคคีแบมือเอาตุ๊กตาท้าจูบ ให้เธอดู แสงจันทร์จะเอื้อมมือไปหยิบ เขาก็กำเอาไว้ พูดว่า 

“ผมเล่นตามกฏคุณทุกอย่างแล้วนะคืนนี้ และอันนี้ผมก็ไม่พลาดแน่ เพราะ...ผมไม่ใช่นายทึ่ม”

แสงจันทร์ไม่ได้ตั้งตัว แต่ก็ถูกเขากอด ศีรษะถูกตรึงด้วยมือข้างหนึ่งของเขา แล้วใบหน้าของเขาก็ก้มลง เขาเลียริมฝีปากเธอเบาๆ ก่อนที่จะสอดลิ้นเข้าไป มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนแสงจันทร์ไม่ทันตั้งตัวและไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำ แต่ในอารมณ์อย่างนี้ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบสนอง และคิดว่าการที่เธอนิ่ง จะทำให้เขาหยุด แต่มันก็กลับกลายเป็นว่า เธอเคลิบเคลิ้มไปกับเขา เพลิดเพลินไปกับการจูบ ยกมือโน้มศีรษะของเขา ขณะที่มือของเขาก็ลดต่ำไปที่สะโพกของเธอ กระชับมันแนบแน่น เพียงแค่ได้จูบไม่พอสำหรับเขาเสียแล้ว 

“ไปกับผมเถอะ” เขาถอนริมฝีปาก กระซิบที่ข้างหู

“ไม่” แสงจันทร์ปฏิเสธ แล้วผลักอกเขาเบาๆ ถอยหลังมายืนตัวสั่นน้อยๆ มองเขาด้วยความสับสน ให้ตายเลยสิ แค่จูบเฉยๆ ทำไมเขาถึงทำให้เธอเป็นไปได้ถึงเพียงนี้

อัคคีถอนหายใจยาว เขาต้องการเธอนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเซ้าซี้ เมื่อถูกปฏิเสธ 

“คุณเป็นพนักงานที่เยี่ยมมาก ถ้าผมเป็นเจ้าของผับจะเลื่อนให้คุณเป็นผุ้จัดการเลย กุดไนท์”

เขาใช้จมูกแตะที่แก้มเธออีกครั้ง ก่อนจะผละจากไป ทิ้งให้แสงจันทร์มองตามหลังร่างที่เดินห่างออกไปด้วยความงุนงง แต่เมื่อเขาลับเลี้ยวเข้าไปในทางเดินมืดๆ เธอก็สูดลมหายใจลึกๆ สองสามสามครั้ง

แสงจันทร์มองดวงจันทร์แล้วขมวดคิ้ว...มนต์แสงจันทร์ อย่างนั้นหรือ เธอไม่เคยจะต้องมนต์มันสักครั้ง แต่ทว่าคืนนี้...เขาปลุกบางอย่างในตัวเธอขึ้นมา แรงปรารถนาที่ร้อนแรงอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหน 

ไม่หรอก หญิงสาวสั่นหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง...มันไม่ใช่เป็นเพราะจูบของเขาหรอก มันเป็นเพราะตัวเธอ กับปัญหาของเธอ...อัคคี ผู้ชายที่เธอจะต้องเผชิญหน้า โดยที่เธอไม่รู้ว่า เขาเป็นคนแบบไหน เธอจึงอยากจะทำอะไรๆ สักอย่างให้มันสะใจไปเลย ปล่อยตัว ปล่อยใจ ไปกับใครสักคน แค่คืนนี้ คืนเดียว...

และเขาคนนี้ ไม่เพียงจะจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์ แต่เขายังมีอภิสิทธิ์ที่จะได้จูบเธอ โดยที่เธอปฏิเสธไม่ได้ด้วยสิ...แต่บ้าจัง เขาจูบเธอ โดยไม่คืนเจ้าตุ๊กตาท้าจูบตัวนั้นให้เธอด้วย

แสงจันทร์เดินกลับเข้าไปในผับเธอไม่ได้โกหกที่บอกว่าจะต้องช่วยปิดร้าน เพราะตั้งใจจะเดินไปเก็บแก้วและจานพวกของขบเคี้ยวไปวางด้านในที่อ่างล้าง พนาจะเป็นคนทำหน้าที่ล้าง ขณะที่เกร็กก็จะเก็บพวกเหล้าทำความสะอาดเคาน์เตอร์ และมอริสก็จะเก็บพวกเครื่องเสียงทำความสะอาดในส่วนของเขา ทุกคนต่างมีหน้าที่ช่วยกันหมด จะมีก็แต่น้ากรองทองและป้าชงโคเท่านั้น ที่จะขึ้นไปนอนเลย ซึ่งเป็นเธอเองนั่นแหละที่เป็นบอกให้ทำอย่างนั้น แต่วันนี้น้ากรองทองยังไม่ขึ้นไป และกำลังยืนรอเธออยู่

“เขาเป็นใคร?”

“แสงไม่ได้ถาม”

“เขาจ้องหนูตาเป็นไฟ ไม่ยอมให้หนูคลาดสายตาเลย”

“ก็ผู้ชายคนไหนไม่มองแสงตาเป็นมันบ้างละคะ” เธอแกล้งโอ่นิดๆ 

“แต่หนู จูบกับเขา”

“น้ากรอง” แสงจันทร์เน้นเสียง รุ้สึกร้อนที่หน้าขึ้นมาทันใด 

“หนูให้เขาจูบปากหนูด้วย ชอบเขาใช่ไหม?”

“ก็แค่จูบ มันไม่มีความหมายอะไรหรอกค่ะ” แสงจันทร์ตัดบท จะเดินหลีกเข้าไปด้านใน แต่นางกรองทองจับข้อศอกเธอเอาไว้

“น้าไม่เชื่อ อย่ามาเดินหนีน้านะ หนูเองก็อยู่ติดกับเขาทั้งคืน”

“ก็เขาจับได้ไพ่เดอะเลิฟเวอร์นี่คะ แสงก็ทำตามกติกาที่ตั้งไว้สิ” 

เธอเถียง แต่น้ากรองทองมองเธอแล้วส่ายหน้า ถามอีกว่า

“บอกมาเขาพูดอะไรกับหนูไหม ชวนหนูไปเที่ยวกับเขาไหม” 

แสงจันทร์ไม่ทันได้ตอบ นางกรองทองก็พูดต่อว่า

“ถ้าเขามาชวนหนูเที่ยว หรือออกไปไหนข้างนอก หนูต้องไปกับเขา เพราะนี่คือคู่แท้ของหนู น้าทายมาตั้งแต่เช้า และตั้งแต่หนูตั้งกฏไพ่เลิฟเวอร์มา ก็ไม่เคยมีใครจับแต่แม้แต่ครั้งเดียว”

หญิงสาวเม้มปาก ไม่อยากบอกออกไปตรงๆ เลยว่า คู่แท้ที่น้ากรองทองเชื่อนักหนานั้น เขาชวนเธอแล้ว ชวนไปนอนกับเขาไงล่ะ

“แสงไม่สนใจค่ะ เพราะคนที่แสงหมายตาเอาไว้ไม่ใช่คนนี้ น้ากรองก็รู้นี่คะว่าใคร นายอัคคีไงคะ พรุ่งนี้เขาก็จะมาแล้ว ทนายเสกสรรโทรมาบอกเมื่อหัวค่ำ”

พูดแล้วแสงจันทร์ก็ผละขึ้นบันได ไม่ได้ไปช่วยพนาเหมือนอย่างที่คิด ความจริงแล้วเธอไม่อยากพูดให้น้าสาวสะเทือนใจหรอก แต่ก็ไม่อยากให้น้ากรองทองปักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ ผู้ชายเมื่อครู่ แม้เขาจะสนใจเธอ แต่ก็ทำให้เห็นได้ชัดว่า ออกไปทางไหน และเขาก็คงอยู่อย่างมากไม่เกินคืนสองคืน บ้าตายล่ะ หากเธอจะคิดตามใจตัวเองรับนัดกับเขา ชีวิตเธอใช่ว่าจะตายวันตายพรุ่งเสียที่ไหนจะได้รีบร้อนอย่างนั้น เธอไม่ได้คิดที่จะสะสมประสบการณ์ในเรื่องพรรค์อย่างนี้ด้วย

แสงจันทร์ถอดชุด แล้วอดจะมองดูตัวเองในกระจกไม่ได้ เธอคิดว่าเธอก็เหมือนเช่นทุกวัน หากแต่ประกายตามันแจ่มชัดเหลือเกิน มาถึงตอนนี้ อยู่คนเดียว ในโลกของเธอเอง เธอก็ต้องยอมรับว่า เธอหวั่นไหว...ตั้งแต่แรกที่เห็นหน้าเขาแล้ว

สัมผัสของเขาทำให้เธอร้อนรุม เธอเพลิดเพลินพึงพอใจที่ได้จูบกับเขา ไม่ได้รู้สึกโกรธเมื่อรู้เจตนาของเขา เธอรู้สึกว่ามันใช่ เขาปลุกอารมณ์ของเธอขึ้นมาได้ และเธอก็เผลอไผลควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอเสียศูนย์ เธอพอใจกับความรู้สึกที่อยู่ใกล้ รับรู้ถึงความร้อนที่แผ่มาจากตัวเขา วิธีทีเขารับมือกับเธอ วิธีที่เขาพูด สัมผัสเล็กน้อยแต่ก็ทำอยากให้เธอได้เพิ่ม 

จินตนาการทุกอย่าง มันเหมือนกับที่เธออยากได้รับเหมือนดูในภาพยนตร์ มือเธอเกาะกุมไหล่กว้างกำยำ เธออยากลูบไล้มัดกล้ามสัมผัสเขา แม้เพียงน้อยนิด

อาการเสียดสีช่วงล่างอย่างที่เขาจงใจ แต่ก็เป็นไปตามธรรมชาติ เธอจะโกรธในสิ่งที่เขาเชิญชวนไม่ได้ เพราะสายตาของเขา เหมือนจะรู้ในปฏิกิริยาของเธอ 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ มันสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ เธอคิดว่า ตัวเองหลงรักผู้ชายคนนี้ เธอรู้ถึงความผิดปกติของตัวเอง เธอไม่เคยเสียการควบคุมไปมากขนาดนี้...แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็คงจบลงเพียงแค่นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เธอก็คงเก็บเอาไว้ในซอกแห่งความทรงจำ...เพราะรู้ว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ เธอต้องอยู่กับความเป็นจริง เธอจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาครอบงำ เธอมีหน้าที่มีงานที่จะต้องทำ มากกว่าตัณหาเพียงชั่วข้ามคืน

เขาก็คงอยู่อย่างมากไม่เกินคืนสองคืน บ้าตายล่ะ หากเธอจะคิดตามใจตัวเอง ชีวิตเธอใช่ว่าจะตายวันตายพรุ่งเสียที่ไหนจะได้รีบร้อนอย่างนั้น เธอไม่ได้คิดที่จะสะสมประสบการณ์ในเรื่องพรรค์อย่างนี้ด้วย คนแรกที่จะได้เข้าสู่ตัวเธอ จะต้องเป็นสามีของเธอเท่านั้น

และคนที่เธอตั้งหน้ารอคอยอยู่ หมายหัวเอาไว้แล้วก็คืออัคคีโน่นต่างหาก ขอให้ได้เห็นหน้าค่าตา ดูท่าทีเขาก่อนเถอะ ถ้าพอไหว และเป็นโสด เสน่ห์มีเท่าไหร่เธอจะทุ่มใส่เขาคนเดียวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

****************


2 ความคิดเห็น: