วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555




ไฟรักเพลิงแสงจันทร์ 


บทที่ ๑ 




เมื่อมองเห็นร่างที่ยืนหันหลังให้ที่ริมระเบียง ทำให้ร่างอวบท้วมของสตรีที่กำลังจะตรงเข้าไป ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะฉีกยิ้มเดืนอย่างกระฉับกระเฉงตรงไปยังร่างที่นั่งหันหลังให้ตรงระเบียง

“หนูแสงตื่นแต่เช้า”

“นอนไม่ค่อยหลับต่างหากป้าชง” น้ำเสียงติดจะหยันๆ ตอบกลับมา โดยที่เจ้าตัวไม่หันกลับ

นางชงโค มองอย่างเห็นใจ แต่ก็คิดว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน เลยได้แต่ถอนใจ เดินไปที่ครัวเล็กๆ

“เอาแพนเค้กลูกเกดไหมคะ ป้าจะทำให้”

“อยากได้ปาท่องโก๋รอ้นๆ มากกว่า แต่แพนเค้กก็ได้ค่ะ” คนพูดบอกแล้วก็ถอนใจยาวออกมาแล้วลุกขึ้น

นางชงโคหันไปมองร่างที่สวมเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงผ้าฝ้ายหูรูดแบบไม่มีอะไรอยู๋ใต้นั้นอีก เดินมากดน้ำร้อนลงถ้วยกาแฟ แล้วก็ย้อนกลับไปนั่งขัดสมาธิที่โต๊ะไม้หนาเตี้ยๆ สีดำเป็นมัน กิริยานี้ ทำให้นางคิดไปถึงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ชอบมานั่งขัดสมาธิท้าวคาง มองนางทำกับข้าวทุกวัน แต่ไม่ใช่ที่ครัวตรงนี้หรอก มันเคยอยู่ข้างล่างเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ที่จะยังเหมือนเดิม ก็คือท่าที่นั่งเหมือนกำลังใช้ความคิดตอนนี้ล่ะ

“คุณแสงจะทำยังไงต่อไปคะ”

“เตรียมตัวไปเป็นนางในฮาเร็มกำนันเปลวมังคะ”

“อย่าพูดเป็นเล่นอย่างนั้นไม่ดีค่ะ”

ไหล่เปลือยที่พ้นตัวเสื้อยักขึ้นน้อยๆ อันเป็นกิริยาเคยชินของคนทำ เมื่อตอบว่า “ก็จะให้แสงทำยังไงละคะ จะเอาปัญญาที่ไหนไปหาเงินใช้หนี้เขา”

นางชงโคนิ่ง อย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เพราะก็รู้ปัญหาในเรื่องนี้ดีเหมือนกันว่า กำนันเปลวนั้นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของแสงจันทร์ หนี้นั้นมันไม่ได้เกิดจากที่ไหน แต่มันเป็นหนี้ที่ต้องยืมมาให้นายอินสรทั้งนั้น ในขณะที่รายได้เดียวจากผับนั้นมีแทบจะไม่พอจ่ายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซันไม่มีนักท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายทุกอย่างมาจากการยืมทั้งนั้น และคนให้ยืมก็ช่างใจดีให้ไม่อั้นเสียด้วย จากที่ได้ยินกิตติศัพท์นางก็พอจะรู้หรอกว่า กำนันเปลวนั้นต้องการอะไรจากแสงจันทร์

“ไว้รอคุณอัคคีมาก่อนดีไหม บางทีเราน่าจะบอกกับเขาได้ว่า ที่นี่ยังเป็นหนี้ ถ้าหากเขาจะขาย ก็น่าจะแบ่งคุณแสงบ้าง”

“ฮึ ใจดีอย่างนั้นก็ดีสิ” แสงจันทร์ยักไหล่ พูดเสียงหยันๆ ต่อว่า “มันควรจะเป็นของแสงทั้งหมด ไม่ใช่รอขอส่วนแบ่งจากใคร ก่อนตายก็ทำลายชีวิตคนอื่นแล้ว หลังตายก็ยังมาทำลายความหวังของแสงอีก”

“คุณแสงจันทร์” นางชงโคเน้นเสียงเรียกเหมือนเตือน

“ก็จะให้พูดยังไงล่ะ คนมันอารมณ์ไม่ดีนี่”

“อารมณ์ไม่ดี ก็ให้เงียบเอาไว้ ดีกว่าจะพูดสิ่งที่ไม่ดีออกมา”

“แสงก็ไม่ได้พูดกับใคร นอกจากกับป้า” แสงจันทร์เถียง ก่อนหายใจเฮือกออกมา “คิดไปอีกที ก็ดีเหมือนกันนะเป็นเมียน้อยกำนันเปลว...เอะไม่ใช่เมียน้อยสิ เมียแกตายไปแล้ว หนี้ก็ไม่ต้องจ่าย ดีไม่ดี แสงยุให้ซื้อผับนี่เอาไว้ให้แสงได้อีกต่างหาก อายุก็ใช่ว่าจะมากมายอะไร ยังไม่เข้าห้าสิบด้วยซ้ำ แถมยังหล่ออีกต่างหาก...เออ คิดดี พูดดีเหมือนกันนะแสงจันทร์แกนี่”

แสงจันทร์ชมตัวเองในตอนท้ายแล้วก็หัวเราะหยันๆ ก่อนจะลุกเดินไปกดน้ำร้อนในกระติก แล้วเดินไปที่ราวระเบียงที่เธอนั่งมองทะเลอยู่เมื่อครู่

หญิงสาวมองฟ้าสว่างขึ้น แต่ก็ไม่มีใครเดินเล่นที่ชายหาด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ เมื่อคืนฝนตกหนักก็ได้ ช่วงนี้เป็นหน้าฝนไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยว ซึ่งมันก็ทำให้งานศพ ที่ผ่านไปเมื่อสองอาทิตย์ ไม่ได้ทำให้ขาดรายได้อะไรเท่าไหร่ และเธอก็คงไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเมื่อเก็บศพนายอินทรไว้ร้อยวันเพื่อรอวันเผา หากทนายเสกสรร หรือที่เธอเรียกว่าลุงเสกจะไม่ได้บอกกับเธอว่า นายอินทรทำพินัยกรรมเอาไว้ และยกบ้านหลังนี้...บ้านอันเป็นที่ตั้งของผับมนต์จันทรา ให้หลานชายของเขา

อัคคี ชื่อนี้ทำเอาเธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ โกรธโมโหไปหมด มันเป็นความโกรธปนความผิดหวัง เมื่อรู้ว่า บ้านหลังนี้จะไม่ได้เป็นของเธออย่างที่คิด

เธอหวังว่าที่นี่จะตกเป็นของเธอ เพราะเธอดูแลมันมาตั้งแต่ที่นายอินทรล้มเจ็บ และเขาเองก็เคยพูดด้วยว่า จะยกที่นี่ให้กับเธอ

“โสมแขรักที่นี่ และฉันจะรักษาที่นี่ไว้ให้ลูกสาวของผู้หญิงที่ฉันรัก”

ก่อนนั้นผับเป็นที่ขึ้นชือของนักท่องเที่ยว แต่เมื่อกิจการทรุด การแสดงโชว์กลางแจ้งก็ลดลงไป แต่เธอก็ยังพยายามให้มันเป็นแหล่งรื่นรมย์ สำหรับนักเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำในธรรมชาติ มองเห็นแสงดาว แสงจันทร์และลมโชย มีฟลอร์เต้นรำด้วยจังหวะสนุกครื้นเครง หรือแม้กระทั่งโรแมนติกหวานล้ำ ที่ชานกว้างริมหาดด้วย

มันพอเลี้ยงตัวเองได้ หากจะไม่หมดไปกับการพนันและค่าเหล้าของนายอินทร

ห้าปีที่แม่เสียชีวิตและนายอินทรหมดความสนใจในทุกอย่าง เธอก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับที่นี่ เธอรักในสิ่งที่เธอทำ เธอรักผับซึ่งเป็นบ้านของเธอ เธอรักเกาะนี้ เธอรักที่นี่ เธอไม่คิดจะไปไหน ต่อให้มันขาดทุน ลุ่มๆ ดอนๆ ต่อการหาเงินมาจ่ายพนักงานในช่วงโลว์ซีซัน ในช่วงที่เธอเองต้องประหยัด และอาจจะต้องหยิบยืม เพื่อทำให้กิจการดำเนินต่อไปได้ เธอมั่นใจว่า มันจะต้องเป็นของเธอ เธอไม่เคยคิดเป็นอื่น ช่วงงานศพของนายอินทร เธอก็นั่งอยู่ดึกดื่นหลายคืน เพื่อดูบัญชีรายรับจ่าย มีอะไรบ้างจะลดลง มีอะไรบ้างที่เธอจะปรับปรุง ไปในทิศทางที่เธอต้องการ เธอคิดว่าเมื่อถึงฤดูกาลท่องเที่ยวมาถึง เธอจะมีเงินเข้า เงินที่หมดไปนายอินทรอย่างไร้ค่า ก็จะค่อยทยอยใช้หนี้และประคองที่นี่ให้อยู่ได้ไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าหนี้ไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่า นายอินทรจะทำพินัยกรรมเอาไว้อย่างนั้น

เธอถูกหักหลัง แสงจันทร์กำราวระเบียงแน่น ใบหน้าเธอเชิดขึ้น เมื่อรู้สึกเจ็บปวด กับการที่เธอหลงเชื่อพ่อเลี้ยงของเธอเอง เธอยิ้มหยันๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เธอตอบขอบคุณเขา ในตอนที่เขาพอจะมีสติ ก่อนที่จะสิ้นลมว่า

“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแสงจันทร์ ไว้ใจฉันนะ”
แสงจันทร์สูดลมหายใจลึก แม้จะยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหน แต่เธอคิดจะซื้อคืนหากนายอัคคีนั่นจะไม่คิดทำอะไรที่นี่ แล้วเธอก็นึกปวดใจอยู่เหมือนเดิมว่า มันเป็นของเธอ ทำไมเธอจะต้องซื้อแค่พินัยกรรม กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้นเองนะหรือที่ทำให้เธอสูญเสียสิ่งที่เป็นของเธอไป

แสงจันทร์มองไปยังโขดหินสีดำๆ ที่อยู่ไม่ไกล ถัดจากนั้นก็เป็นป่ารก แต่เธอกำลังคิดไปถึงที่ดินประมาณสิบไร่ของเธอ ซึ่งมันก็กลายเป็นสิ่งค้ำประกันหนี้ที่กำนันเปลว มันเป็นที่ค่อนข้างรก และไม่ได้ติดชายหาดแสนสวยอย่างนี้ ไร้นักท่องเที่ยว เพราะมีแต่โขดหินและหน้าผา ทางเข้าก็ลาดชัน หากจะไปได้สะดวกก็คือ เดินข้ามโขดหินน้อยใหญ่ที่เธอเห็นอยู่ตรงนี้ไป เธอเคยอยากขายแต่มันก็ยากที่จะมีคนมาซื้อในราคาที่เธอต้องการขาย เพราะที่มันไม่สวย

แต่ตอนนี้มันคงจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอ เพราะเธอคิดจะขายตรงนั้น เพื่อมาซื้อที่นี่...แต่ใครล่ะจะมาซื้อ และให้ราคาได้มากพอ ถ้าไม่ใช่กำนันเปลว และมันจะเหลือสักเท่าไหร่กันถ้าหักลบกลบหนี้กันแล้ว เพราะที่เธอยืมกำนันเปลวมานั้น มันก็ดอกทบต้นไปเรื่อยๆ อยู่

หญิงสาวแค่นยิ้มออกมา เมื่อคิดไปถึงเจ้าหนี้รายใหญ่…แม้กำนันเปลวนั้น จะไม่แสดงเจตนาตรงๆ ว่าต้องการอะไร แต่คุณระพีน้องสาวภรรยาผู้เสียชีวิตไปแล้วของเขาก็มักจะกระแนะกระแหนใส่เธอบ่อยๆ ด้วยความหึงหวง

“ผู้หญิงสมัยนี้มันง่ายจัง ถ่างขาเสียหน่อยก็มีเงินใช้”

เธอไม่เคยสนใจคำพูดนั้น เพราะไม่คิดจะไปเป็นเด็กหรือเมียเก็บของใคร กำนันเปลวก็ไม่ได้บีบคั้นอะไรเธอ เยาอาจจะคิดว่าเธอเป็นของตายสำหรับเขาแล้วก็ได้...แต่ตอนนี้หากตัดความตะขิดตะขวงใจที่ว่า เขาไม่คิดจะแต่งงาน กับการมีผู้หญิงเป็นกระตักของเขาแล้วละก็ หนุ่มใหญ่ท่าทางอารมณ์ดีอย่างนี้ ก็คงทำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายล่ะ

“คุณอัคคีจะมาที่นี่เมื่อไหร่คะ?”

แสงจันทร์หันกลับมา มองนางชงโคที่เอาจานแพนเค้กมาตั้งไว้ที่โต๊ะเล็ก แพนเค้กที่ทอดสีน้ำตาลน่ากินเมื่อราดด้วยน้ำผึ้ง ข้างๆ ไม่ได้มีเพียงลูกเกดอย่างที่เธอชอบ แต่ยังมีลูกกีวีหั่นมาเคียงด้วย

“ไม่รู้ค่ะ” แสงจันทร์ตอบนั่งลงที่เก้าอี้

“ทนายเสกไม่ได้บอกหรือ”

“แสงไม่ได้ถามค่ะ ไม่สนใจ ไม่มาได้ยิ่งดี ไม่มีคนชื่อนี้อยู่ในโลกยิ่งดีใหญ่”

คำสุดท้ายเหมือนเจ้าตัวจะโมโหนิดๆ แล้วส้อมที่กระแทกไปยังกองแพนเค้กก็บ่งบอกอารมณ์ได้ดีทีเดียว แสงจันทร์ไม่ได้ตัดให้มันชิ้นเล็กลง แต่ใช้ส้อมจิ้มไปมาให้มันม้วนเข้าหากันพอที่จะเอาเข้าปากได้ อารมณ์ไม่ดีเธอชอบกินของหวานๆ มันช่วยได้เยอะ

“วันนี้คุณแสงจะเปิดร้านไหมคะ?”

“เปิดสิ ปิดมาตั้งหลายวันแล้ว เดี๋ยวสายๆ แสงจะข้ามฝั่งไปเอาเหล้า กำนันเปลวบอกให้เด็กเตรียมไว้ให้แล้ว”

“จะให้พนาไปด้วยไหม ป้าจะได้ปลุกให้เตรียมตัว” นางชงโคพูดถึงหลานชายของนางที่เป็นแรงหลักคนหนึ่งของที่นี่ แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบหก

“ไม่ต้องค่ะ แสงไปคนเดียว ทางนี้จะได้อยู่ช่วยกันทำความสะอาดร้าน ยังไงก็ต้องกลับมาก่อนเรือเที่ยวสุดท้ายค่ะ”

“จะออกไปไหนแต่เช้าแสงจันทร์”

เสียงถามทำให้แสงจันทร์และนางชงโคหันกลับไปมอง สตรีร่างแบบบางในชุดคลุมสีฟ้าบางๆ ใบหน้าซีดเซียวที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมยาวยุ่งเหยิง แต่เจ้าตัวไม่สนใจ เมื่อเดินตรงเข้ามา

“น้ากรองตื่นแต่เช้า” แสงจันทร์ทักขึ้น

“น้านอนไม่ค่อยหลับ ฝันเห็นคุณอินสร”

ริมฝีปากของแสงจันทร์เหยียดเยาะ ก่อนจะพูดว่า

“งั้นเดี๋ยวไปตักบาตรให้ มาบอกว่าจะกินอะไรละคะ”

“พี่อินทร์ เขามาบอกว่า อย่าห่วงทุกอย่างจะเรียบร้อยในเร็วๆ นี้”

“งั้นพวกเราก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วสินะคะ” น้ำเสียงเหมือนโล่งอกเปล่งออกมาจากปากเหมือนเจ้าตัวกำลังขัน ก่อนที่น้ำเสียงเสียดสีจะดังต่อมาว่า “ผีมาบอกแล้ว”

“อย่าพูดอย่างนี้ไม่น่ารัก” กรองทองพูดเสียงหนัก

เจอดุอีกครั้ง แสงจันทร์ก็กระแทกส้อมจิ้มแพนเค้กเข้าปากใหม่ ก็ใช่ไม่รู้ตัวว่า พูดไม่เพราะ แต่ก็อดไม่ได้ ความจริงแล้วน้ากรองทองก็ไม่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ แต่เป็นเพื่อนของแม่ มาอยู่ที่ผับนี้ตอนที่น้ากรองทองหย่ากับสามีที่เป็นชาวต่างประเทศ แล้วได้เงินก้อนหนึ่งมาช่วยแม่ในตอนที่เกิดวิกฤตการเงิน แต่เธอรู้ว่าแม่คืนไปหมดแล้ว แต่น้ากรองก็ยังอยู่ช่วยทำงานในผับ เป็นนักร้อง เป็นหลายๆ อย่าง แล้วก็กลายเป็นแม่หมอดูไพ่ยิบซีประจำผับ น้ากรองทองเป็นคนชักจูงนายอินทรมาให้รู้จักกับแม่ พ่อเลี้ยงของเธอ เป็นคนดี เธอยอมรับ เขารักแม่ของเธอ แต่พอเกิดอุบัติเหตุนายอินทรขับรถตกไหล่เขา แม่เธอเสียชีวิต ส่วนเขาขาพิการ ซึ่งมันทำให้เขาเปลี่ยนไป กลายเป็นคนขี้เหล้า ฉุนเฉียว และติดการพนัน มีขาประจำที่มาเล่นไพ่กับเขาที่ห้องพักด้านล่างแทบทุกคืน ก่อนที่เขาจะป่วยหนักเพราะฤทธิอัลกอฮอล์ และคนที่จะรองรับอารมณ์ของเขาได้คนเดียวก็คือน้ากรองทอง ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นมันมองง่าย ซึ่งเธอเองก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยว แม้จะนึกสงสารและแปลกใจว่า ทำไมน้ากรองทองผู้แสนจะบอบบางถึงได้อดทนต่อเขาได้ขนาดนี้ แต่ที่เธอแน่ใจก็คือ น้ากรองทองหลงรัก นายอินทรมาตั้งแต่แม่ยังมีชีวิตอยู่

“นายอัคคีนี่หล่อไหม? น้ากรองเคยเห็นเขาไหมคะ” แสงจันทร์ถามขึ้นแล้วใช้ส้อมจิ้มแพนเค้กชิ้นใหม่เข้าปาก

“ถามทำไม?”

“ก็อยากรู้ว่า ระหว่างกำนันเปลว กับนายอัคคีนี่ใครหล่อกว่ากัน จะเลือกข้างถูก”

คิ้วที่เขียนเอาไว้ด้วยสีน้ำตาลของน้าสาวขมวดเข้าหากัน “เอะ...เป็นอะไรทำไมพูดจาแบบนี้”

“ก็แสงกำลังจะทำตัวเป็นนางเอกในนวนิยายไงคะ น้ากรอง...ขายตัวใช้หนี้”

“แสงจันทร์ พูดดีๆ นะ ใครจะไปให้เธอทำอย่างนั้น ปากจัดแล้วนะ”

แสงจันทร์ ตบปากตัวเองเบาๆ ยิ้มให้น้าสาว พูดว่า
“งั้นจะพูดใหม่ จะพูดดีๆ แสงกำลังจะหาผู้ชายแต่งงานด้วยค่ะ อยากได้ผู้ชายรวยๆ ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าจะบอกว่าเราอยากแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ แต่รวยอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องหล่อด้วย และต้องรักแสงด้วย...ไงคะ มีทั้งรวย หล่อ รัก แถมแต่งงานด้วยครบสูตรเลยนะ สิ่งดีๆ ทั้งนั้น ที่แสงพูดถึงไม่ได้หยาบตรงไหนเลย ตอนนี้ก็สต๊อกกำนันเปลวแล้วคนหนึ่ง ส่วนอีกคนยังไม่เห็นคงต้องรอให้เขามาเสียก่อน เราควรให้โอกาสศัตรูของเราด้วยใช่ไหมคะ แสงเลยถามหานายอัคคีไง น้ากรองรู้จักหรือเปล่า”

หญิงสาวย้ำถามอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้คิดจะเอาคำตอบ เมื่อลุกขึ้น ปิดปากหาว “แสงไปนอนอีกสักชั่วโมงแล้วจะออกไป”

“ก่อนจะออกไป เข้าไปหาน้าด้วย จะดูไพ่ให้” คุณกรองทองสั่งทันที

แสงจันทร์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่แล้วก็ตอบว่า

“ค่ะ”

วันนี้เป็นวันแรกที่จะเปิดร้านหลังจากที่ปิดไปตอนงานศพ น้ากรองทองเป็นแม่หมอที่ดูไพ่ในร้าน ไม่ได้บริการฟรี แต่ให้ลูกค้าจ่ายเป็นดริงค์ เธอไม่ค่อยอยากจะดูนักหรอก แม้จะยอมรับเหมือนกันว่า น้ากรองดูได้แม่น และในทุกคืนวันเพ็ญ เธอก็จะจัดมีคืนพิเศษสำหรับลูกค้าผู้โชคดีเหมือนกัน ก็ถ้าหากฝนไม่ตก ในคืนนี้ก็ขอให้จันทร์เต็มดวงทีเถอะ เธอต้องการโชคจริงๆ ในระหว่างที่กำลังสิ้นหนทางอย่างนี้ อะไรเธอก็คว้ามาเป็นความหวังทั้งนั้น ทั้งๆ ที่มันริบหรี่เต็มทนแล้ว

กรองทอง มองตามหลังสตรีที่เธอรักดุจหลานสาวไป แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ไอ้เรื่องพูดเรื่อยเจื้อยของแสงจันทร์นี่ ทำให้ต้องคิดหนัก เพราะบางครั้งนึกว่าแสงจันทร์พูดเล่น แต่ที่ไหนได้เอาจริง และในสถานการณ์ตอนนี้ เธอก็กลัวนักว่า แสงจันทร์จะเอาจริงเพราะความโกรธ ความผิดหวัง และถ้าลงแสงจันทร์จะทำก็ไม่มีใครห้ามได้หรอก ยิ่งตอนนี้แล้วละก็...แสงจันทร์ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรจะยึดเหนี่ยวอะไรอีกแล้ว

“คุณกรองจะเอานมไหมคะ เดี๋ยวพี่จะเตรียมให้” นางชงโคถาม

“เอามาก็ดีค่ะ” กรองทองตอบ “แสงจันทร์คุยอะไรกับพี่บ้างละคะ”

“ก็เหมือนที่พูดเมื่อกี้ละค่ะ แต่ก็น่าเห็นใจนะคะ ไม่รู้ว่าหลานชายคุณอินสรจะเป็นคนยังไง”

“ดูเหมือน พี่อินทร์ก็ไม่ได้สนิทกับเขานักหรอกค่ะ แต่ทำไมถึงได้ยกที่นี่ให้เขานะ ยัยแสงมันจะบ้าตายอยู่แล้ว พูดเสียจนกรองไม่สบายใจ กลัวจะไปอีหนูกำนันเปลวนั่นจริงๆ”

“อย่ากังวลเลยค่ะ คุณแสงแกก็โมโหผิดหวังเท่านั้น อีกอย่างก็ไม่รู้แน่ว่าทางคุณอัคคีเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าอะไรชัดเจนขึ้น เดี๋ยวก็คงหาทางออกได้เองหรอกค่ะ”

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ ทางกำนันเปลวยิ่งจ้องอยู่ด้วย อย่างน้อยรายคุณอัคคีก็ยังดี เพราะเขาเป็นหลานพิอินทร์ กรองเชื่อนะคะว่า พี่อินทร์คงคิดดีแล้วล่ะ”

นางชงโคส่ายหน้านิดๆ เมื่อเดินไปที่ครัวเพื่ออุ่นนมมาให้ นางเองก็อยากเชื่อนายอินสรเหมือนอย่างกรองทองอยู่หรอก หากก่อนจะเสียชีวิตนายอินสรจะไม่ติดเหล้าอารมณ์ร้ายเล่นการพนันผลาญเงินอยู่อย่างนั้น

อัคคีดับเครื่องยนต์ เปิดประตูรถลงมา เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของเรือ ชายหนุ่มไม่สนใจใคร เมื่อเดินไปที่นั่งตรงด้านหน้า ที่มีคนอยู่ไม่ถึงยี่สิบ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศ มันอาจจะเป็นเรือเที่ยวสุดท้ายจึงไม่ค่อยมีคน หรือไม่ก็เพราะ ช่วงนี้ไม่ใช่เวลาที่คนจะมาเที่ยว

ชายหนุ่มหยิบเอาแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ แล้วก็เดินไปชิดขอบกระจกมองฝ่าออกไปยังทะเลตรงหน้า เขาตัดสินใจปุบปับที่จะมาที่นี่ หลังจากที่ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของลุงอินสร ซึ่งเป็นพี่ชายคนเดียวของแม่ของเขา เขาไม่ค่อยจะสนิทกับญาติทางแม่มากนัก และเมื่อแม่เสียชีวิตพ่อของเขาแต่งงานใหม่ จึงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับญาติทางแม่อีก แต่เขาก็ได้รับการติดต่อจากลุงอินสร มีเรื่องให้ช่วยเหลือ และเป็นการช่วยเหลือที่ค่อนข้างจะมากเหมือนกัน สำหรับญาติที่ไม่ได้ติดต่อกันหลายปี

แต่ลุงอินสรไม่ได้ขอความช่วยเหลือเขาเฉยๆ แต่มีโฉนดที่ดินที่อยู่ชายทะเลเป็นหลักค้ำประกัน และไม่มีวี่แววว่าจะคืนเงินเขา แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้ข่าวอีกทีก็ต่อเมื่อลุงของเขาเสียชีวิตไปร่วมสองสัปดาห์แล้ว

แต่มันก็เป็นสองสัปดาห์ ที่เขาไม่คิดจะโทษตัวเอง เพราะมันเป็นช่วงที่อาจจะพูดได้ว่า เขากำลังเก็บตัว และไม่ต้องการติดต่อกับใคร โดยเฉพาะผู้หญิง เขาไม่สนใจว่าใครจะติดต่อมา จะเรียกได้ว่าเขาอยู่ระหว่างการสร้างภาพก็ได้ เขากำลังสร้างภาพแย่ๆ เพื่อจะหนีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่ามันคงจะได้ผล หากเขาไม่มีเงิน ก็คงไม่มีใครมาวุ่นวายด้วยแล้วเป็นแน่

เขาคงไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก หากเจ้าหล่อนนั่นจะไม่ได้เป็นแฟนของเพื่อนรักของเขา เขาไม่อยากมีปัญหาเรื่องผู้หญิงกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงอย่าง เพียงมาศ เขาไม่คิดว่าการที่เขาพลาดไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบนั้นจะเป็นเหตุให้หล่อนเอาเรื่องนี้มาแบคเมลเขา การที่เขาปล่อยข่าวว่าเสียพนันจนกระทั่งต้องขายคอนโดเรือนล้านออกไปใช้หนี้ คงจะทำให้หล่อนได้หยุดคิดอยู่บ้างละว่า ระหว่างคนที่กำลังถังแตกติดการพนันอย่างเขา กับทายาทเศรษฐีอย่างทวีกิจ เพื่อนของเขานั้น หล่อนควรจะเลือกใคร

อัคคีถอยกลับมานั่งที่เก้าอี้ เอามือถือขึ้นมาคิดว่าจะโทรไปที่บริษัท แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เก็บมือถือไว้ ไม่คิดจะบอกกับใคร แม้แต่กิ่งแก้ว เลขานุการของเขา ซึ่งทันทีที่เขากลับมาถึงก็รีบบอกเขาเลยว่า เพียงมาส ตามหาเขาให้วุ่น และมีทนายความชื่อเสกสรรโทรหาเขาสองสามครั้งแต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร พอๆ กับที่ผู้หญิงที่ชือแสงจันทร์โทรมาสองสามครั้ง ไม่สั่งอะไรไว้เช่นกัน

ทั้งคู่อาจจะตามตัวเขาเพราะเรื่องงานศพ แต่ตอนนั้นเขาอยู่ที่มาเก๊า ไม่ได้ไปเล่นการพนัน อย่างที่พยายามทำให้เป็นข่าว ก็ถ้าหากเขารู้ว่าจะเป็นเรืองการตายของลุงอินสร เขาก็คงไม่เพิกเฉยหรอก เพราะอย่างไรท่านก็เป็นญาติคนเดียวของเขา

และเขาก็คงไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าท่านได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินนั้นให้เขา หากทนายเสกสรรจะไม่ได้โทรหาเขาอีกครั้งเมื่อวานนี้ ทนายเสกสรรคุยกับเขาไม่นานนัก เพราะอยากจะคุยแบบเจอตัวกันมากกว่า แต่ก็พอจะทำให้เขารู้ว่า ลุงอินสรของเขาได้แต่งงานกับแม่ม่ายลูกติดคนหนึ่ง และไม่วายที่จะพูดให้เขาฟังว่า

“ถ้าคุณจะไปที่เกาะ ก็ระวังอารมณ์คุณแสงไว้หน่อยแล้วกัน เพราะคุณแสงคิดว่าผับนั่นเป็นของตัวเอง ท่าทางออกจะผิดหวังและโกรธมากเมื่อรู้ว่า คุณอินสรยกให้คุณ”

“ไม่บอกไปล่ะว่า ไม่ได้ยกให้เฉยๆ ใช้แทนหนี้ต่างหาก”

จำได้ว่าเขาย้อนไปขำๆ อย่างนั้น เพราะลุงอินสร ไม่ได้ขาดเงินเพียงครั้งเดียวในตอนนั้น แต่ปีละครั้งสองครั้งที่เขาจะต้องโอนเงินให้ท่านตามที่ขอมา อย่างไม่สนใจว่าจะได้คืนหรือไม่ ก็พอให้กันได้เขาก็ให้ เขาคิดอย่างนั้น การที่ลุงอินสร จะทำพินัยกรรมยกบ้านที่ดินให้เขา มันจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองฉกฉวยเอาของใครมาเลยจริงๆ

“ความจริงแล้วคุณอินสร อยากจะยกที่นี่ให้เป็นของคุณแสงจันทร์ ถ้าคุณอัคคี ไม่มีปัญหาอะไร ก็ลองพิจารณาดูก็แล้วกันว่าจะช่วยเหลือคุณแสงจันทร์ได้ยังไง แต่ถ้าต้องการจะขายก็มีคนสนใจอยู่แล้วนะครับ ผมติดต่อให้ได้ และถ้าขายแล้ว ก็อยากจะให้คุณแบ่งให้คุณแสงจันทร์บ้าง ผมสงสารน่ะ เห็นทำงานงกๆ เพราะนึกว่าจะเป็นของตัวเอง นี่ถ้าไม่มีหนี้ ผมว่าคุณอินคงไม่ยกให้คุณหรอก”

เขาเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรหรอก แต่เพราะตอนนั้น เพียงมาสเดินเข้ามาในห้องพอดี เขาจึงแกล้งตอบกลับไปเสียงดังว่า

“ถ้ายังไงผมอาจจะขายเอาเงินมาใช้หนี้ก็แล้วกัน”

เมื่อเริ่มที่จะโกหกแล้ว ก็ดูเหมือนจะต้องโกหกเป็นลูกโซ่ไปอีกเรื่อยๆ โชคดีที่ธุรกิจของเขา ได้หุ้นส่วนที่มีชื่อเสียง จึงไม่กระทบกับงาน มันจึงเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาจะต้องแก้ปัญหา และปล่อยให้มีการซุบซิบกันไปเองระหว่างคนที่พอรู้จัก

อัคคีถอยกลับมานั่งที่เก้าอี้ว่างๆ แต่สายตาก็ยังมองออกไปข้างหน้าเช่นเดิม เขาแวะไปหาทนายเสกสรรแล้วก่อนจะมาขึ้นเรือ แต่ทนายไม่อยู่ จึงได้แต่โทรหาและนัดว่าจะมาคุยกันในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับทำความรู้จักครอบครัวลุงอินสรไปด้วย เขาคิดว่าควรจะไปทำความเคารพรู้จักเอาไว้ และแสดงความเสียใจ พร้อมบอกเหตุผลที่เขาไม่ได้มางานศพ...ส่วนเรื่องบ้านและที่ดินนั้น เขาคิดว่า มันเป็นสิทธิ์ของเขา เขาจะไปดูก่อนว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง และถ้าหากจะขาย เขาก็คิดว่าจะเอาเพียงเงินในส่วนที่เขาเสียไปเท่านั้นคืนมา ที่เหลือก็ยกให้ภรรยาใหม่ของลุงอินสรไป เขาไม่คิดจะเอามากไปกว่าที่เขาเสียไปเลยจริงๆ ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อรู้จักภรรยาใหม่ของลุงแม้แต่น้อย และจากที่ฟังๆ ดู เขาก็คิดว่า แสงจันทร์ภรรยาของลุงออกจะเค็มไม่น้อยเหมือนกัน ลุงอินสรไม่เคยคุยให้ฟังเลยหรืออย่างไรว่า ยืมเงินเขามา จะมาโกรธเขาได้อย่างไร

ชายหนุ่มนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำว่า ระยะเวลาสั้นๆ ท้องฟ้าที่สว่างก็มัวซัว และฝนก็โปรยปรายลงมาตั้งแต่ตอนไหน แต่หน้าฝน ที่นี่คงไม่มีนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ ก็ดีเหมือนกัน เขาอาจจะพักอยู่ที่นี่ได้นานหน่อย เขาต้องการความสงบเงียบๆ จริงในตอนนี้

ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อเรือจอดเทียบท่า เขาไม่รีบร้อนอะไร และรู้ตัวว่าเป็นคนสุดท้าย เพราะสตรีสาวสวยนางหนึ่งกำลังเดินมาอีกด้านหนึ่งของเรือ ท่าทางไม่ได้รีบเร่งเช่นกัน แต่ก็สะดุดตาเขาในทันที เขาประมวลภาพได้ว่าเป็นคนสวยแม้ว่าใบหน้าของเธอจะมีแว่นกันแดดปิดบัง เธอสวมกางเกงรัดรูปขาสามส่วน เสื้อจั้มเอวลอยโชว์ส่วนท้องแบบราบ สะพายกระเป๋าลายดอกสดใส เสียงกำไลเงินดังกระทบกันเมื่อเธอเดินฉับๆ พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย เธอไปถึงบันไดก่อนเขาไม่กี่ก้าว และไม่ได้มีวี่แววว่าจะสนใจเขาแต่งอย่างใด

อัคคีเดินไปถึงบันได เรือก็เหมือนจะโคลงเล็กน้อย แล้วเขาก็ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ มองลงไป สาวสวยเมื่อครู่ของเขา คุกเข่าอยู่กับพื้น เธอคงจะสะดุดบันไดหกล้ม เขาเห็นเธอลุกขึ้นหยิบเอากระเป๋าสะพาย เดินไปได้สองสามก้าวเธอก็หยุดชะงักกวาดสายตามองรอบๆ พื้น และคงไม่เห็นอะไรจึงเดินตรงไปที่รถกะบะ ที่จอดอยู่เลยหน้ารถเขาออกไปอีกสามสี่คัน

แม้จะอยู่ที่หัวบันได แต่อัคคีก็เห็นในสิ่งที่มันหล่นลงมา และกลิ้งไปยังด้านข้างๆ ไม่ห่างจากทางที่รถเขาจอดอยู่นัก เขาเดินไปเก็บสิ่งที่ตกลงมาแล้วก็ยิ้มนิดๆ หันไปมองเธอ แต่ก็เห็นท้ายรถของเธอเคลื่อนพ้นเรือไปแล้ว เขาเข้าไปในรถ เอาสิ่งที่เก็บได้วางไว้เบาะข้างๆ แล้วก็ติดเครื่อง ตามออกไปบ้าง

ก็แค่ตุ๊กตานิโกรตัวหนึ่ง อาจจะไม่สำคัญก็ได้

อัคคีขับรถไปตามเส้นทางบังคับที่ขึ้นไปยังเนินเขา ฝนตกหนักมันทำให้เขาต้องระวังมากขึ้น แล้วก็ตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าไปที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ที่เขาคิดว่าสะอาดและใหญ่พอควร เขาจอดรถ แล้วก็คว้ากระเป๋าเดินทางใบหย่อมที่เบาะหลัง แต่เมื่อจะเปิดประตูรถก็นึกขึ้นได้ จึงหันไปคว้าเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะลงจากรถ

พนักงานต้อนรับชายใส่เสื้อฮาวายสีฟ้าสด แต่ก็ไม่ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น เพราะฝนที่ตกกระหน่ำ และใช้เวลาไม่นานในการติดต่อห้องพัก เพราะช่วงนี้ไม่มีนักท่องเที่ยว และไม่ได้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย

“มีกระเป๋าที่รถไหมครับ”

อัคคีสั่นหน้า มันเป็นเพียงกระเป๋าเดินทางใบหย่อมแม้จะตั้งใจมาพักสักเดือน เขาก็มีมาไม่กี่ชุด อยู่ทะเลจะใส่อะไรมากมาย หาซื้อเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแถวนี้ ก็อยู่ได้เป็นเดือนแล้ว

“เชิญทางนี้ครับ”

อัคคีถือกระเป๋าเอง เมื่อพนักงานนั้นแบกร่มคันใหญ่เดินนำหน้าเพราะฝนยังตกอยู่ ความจริงแล้วเขายังมีโน๊ตบุ้กอยู่ในรถ แต่คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปทีหลังก็ได้ เขาไม่คิดที่จะมาทำงาน แต่มันก็เป็นความเคยชินในการที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ติดมาด้วย เผื่อฉุกเฉินจะได้แก้ไขอะไรทัน

ชายหนุ่มเดินตามทางคอนกรีตยกพื้นที่ด้านข้างปลูกต้นไม้จำพวกใบยาวสลับกับไม้พุ่มเตี้ยๆ ปลูกขนาบไปทั้งสองข้าง มีบ้านไม้เรียงกันหลายหลัง ทุกบ้านมีระเบียงด้านหน้า บางหลังก็มีมีบ่อเลี้ยงปลาเล็กๆ ด้วย ที่นี่ดูร่มรื่นล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม แล้วคนเดินนำก็เลี้ยวออกไปทางซ้ายด้านติดทะเล

“หลังนี้ครับ”

พนักงานเดินนำขึ้นไป เปิดประตูบ้าน พร้อมกับเปิดไฟต่างๆ ให้

“ต้องการอะไรโทรไปที่ลอบบี้ได้เลยนะครับ” พนักงานบอกอย่างสุภาพ ทำท่าจะผละไป แต่อัคคีเหมือนจะนึกขึ้นได้จึงถามว่า

“แถวนี้มีที่ไหนน่าไปนั่งดื่ม?”

หนุ่มนายนั้นขมวดคิ้วเหมือนจะคิดก่อนจะตอบว่า “ใกล้ๆก็มีผับอยู่สองแห่ง ที่หนึ่งก็อยู่ด้านซ้ายติดกับรีสอร์ตนี่ แต่อีกที่โน่นเลยครับไปเกือบสุดชายหาดด้านขวาเลย แต่ตรงนั้นน่าสนใจครับ เขาเรียกกันว่า ผับแม่มดจันทรานะครับ” คนอธิบายยิ้มๆ ในตอนท้าย “ถ้าจะไปที่นั่น เดินไปตามชายหาดทางขวามือเลยก็ได้นะครับ”

“ขอบใจ”

เขาทิปให้พนักงานก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน และเมื่อเปิดเข้าไปข้างใน กลิ่นหอมสดชื่น ภายในทำให้รู้ว่า ที่นี่ดูแลห้องเป็นอย่างดี

อัคคีปลดกระดุมเสื้อขณะเดินไปที่ตู้เย็น มีเครื่องดื่มอยู่ในนั้น เขาหยิบเอาแต่ขวดน้ำออกมาดื่มแล้วเดินไปนั่งที่เตียง ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรทิ่มที่หน้าขา ทำให้นึกได้เลยลุกขึ้นล้วงเอาตุ๊กตาออกมาดูอีกครั้ง เธออาจจะเอามันแขวนเป็นตุ้งติ้งติดกระเป๋าด้านนอก เพราะเขาเห็นห่วงเล็กๆ ที่มีเส้นด้ายถักติดอยู่ ท่าทางมันทะเล้นน่ารักดี โดยเฉพาะปากที่ยื่นน้อยๆ เหมือนจะรอจูบของมันนั่นแล้ว มันทำให้เขาอดจะยิ้มไม่ได้ ความจริงเขาก็เคยเห็นตุ๊กตาอย่างนี้ แต่ก็แค่มองผ่านๆ แต่ไม่เคยพิจารณาใกล้ๆ อย่างนี้

แล้วอัคคีก็วางมันลงที่โต๊ะหัวเตียงแล้วยืนขึ้นถอดเสื้อ แต่เมื่อจะรูดซิบกางเกง สายตาก็จ้องไปที่เจ้าตุ๊กตานั่น มันคล้ายกับว่า เจ้าตัวน้อยปากยื่นนี่กำลังจ้องเขา ทั้งๆ ที่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นหลับพริ้มอยู่ เขาอดจะคิดถึงไปถึงเรือนร่างเจ้าของของมันไม่ได้

ตัวจริงๆ ของเธอจะน่ารัก หรือทะเล้นอย่างเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ไหมนะ แต่ผู้หญิงที่บดบังใบหน้าตัวเองด้วยแว่นอย่างนั้น ใส่เสื้อจั้มเอวลอยโชว์พุงน่าลูบไล้แบบนั้น เดินด้วยท่าทางอย่างนั้น มันบ่งบอกได้อย่างหนึ่งละว่า เจ้าหล่อนต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่มาเที่ยวทะเลแต่งกายแบบนี้ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

อัคคีถอดกางเกงแล้วล้มตัวลงนอนที่เตียง เขาคิดที่จะนอนพักสักสองสามชั่วโมงเอาแรง แล้วค่อยตื่นไปท่องราตรีดูว่า ที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง... แล้วเขาจะได้เจอเธอคนนั้นอีกหรือเปล่า

ให้ตายไปเลยสิ ก็ใช่ว่า เขาจะขาดผู้หญิงหรอกนะ แต่ทำไมถึงได้ติดใจเจ้าหล่อนคนนี้เหลือเกิน มันอาจจะเพราะเจ้าตุ๊กตาน่ารัก หน้าทะเล้นก็ได้

แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเอาเจ้าตัวตุ๊กตานั่นมามองนอนมองเล่น มองแล้วก็ยิ้ม...ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างนี้ เขาใช้นิ้วเขี่ยปากยื่นออกมาของมันเล่นสองสามครั้ง ก่อนจะวาดนิ้วไปตามใบหน้าเล็กๆ ที่แทบจะมิดเพียงนิ้วเดียวของเขา ก่อนจะไปเลิกดูเส้นผมเล่น แล้วบางอย่างที่แลบออกมาจากส่วนที่เส้นผมปิดบังอยู่ ก็ทำให้เขาขยับตัวขึ้นนั่งเอนๆ ด้วยความสนใจ และใช้เล็บจิกดึงมันออกมา

กระดาษบางที่ม้วนแน่นเป็นแท่งสูงประมาณหนึ่งนิ้วถูกฝังสอดอยู่ที่ศีรษะของตุ๊กตา เขาค่อยๆ คลี่ออกมา ก็ต้องหัวเราะก้องออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเจอข้อความที่เขียนเอาไว้ว่า

จูบฉันสิ รออะไรอยู่ นายทึ่ม! 

ฉันจูบแน่ แต่จะเป็นเจ้าของแกโน่น ขอให้ได้เจออีกเถอะ! …อัคคีตอบในใจอย่างนึกสนุก ก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยริมฝีปากที่ยื่นออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ของมันเล่นอีกสองสามครั้ง แล้ววางมันลงที่อก เขาถอนหายใจลึกๆ หลับตาลงด้วยใบหน้าที่ระบายรอยยิ้ม นึกขำตัวเอง ที่ตั้งใจจะมาพักอยู่นี่อย่างสงบๆ สักเดือน แต่ก็ดูเหมือนจะถูกปลุกเร้าจากเจ้าตุ๊กตาตัวนี้และเจ้าของมันเสียแล้ว

*******************

1 ความคิดเห็น: